ในการไปเยือนจังหวัดสมุทรสาคร และประชุมครม.สัญจรที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อต้นสัปดาห์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ไปที่วิสาหกิจชุมชนธนาคารปูม้า-แพปลาชุมชนแหลมผักเบี้ย ต.แหลมผักเบี้ย อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี
เมื่อไปถึงนายกฯ ได้ถามหาว่า “ปูอยู่ไหน” จากนั้นได้เยี่ยมชมร้านค้าวิสาหกิจชุมชน โดยได้แวะที่แผงปูม้าและปูลาย พร้อมทั้งได้ทดลองจับปูด้วย
โดยปูตัวแรกที่นายกฯจับ เป็นปูตัวผู้ ซึ่งมีขนาดตัวใหญ่ แต่ด้วยความที่ไม่ชำนาญ ปูจึงง้างก้ามขึ้นมาขู่จะหนีบ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตกใจจึงสลัดและปล่อยปูออกจากมือทันที พร้อมกล่าวว่า “ขนาดรัดก้ามปูไว้แล้ว ยังจะหนีบอีก”
ท่านผู้อ่านอย่าไปตีความว่านายกฯแพ้ทางปู หรือ เป็นการส่งสัญญาณไปยังปูที่หนีไปต่างประเทศแล้วนะครับ ไม่เกี่ยวกัน (ฮา..)
จากนั้นนางดรุณี เสริมศรี อายุ 47 ปี เจ้าของแผงปู ได้จับปูตัวใหม่ขึ้นมาให้ท่านผู้นำ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้สอบถามถึงการเลี้ยงและการจำหน่าย รวมถึงลองจับกั้งกระดานตัวใหญ่ โดยเปรยว่า น่าสงสาร มีแต่คนกิน ต่อมานายกฯได้ชี้ไปที่กั้ง และกล่าวว่า “ตัวนี้คือกั้ง ไม่ใช่ปู ไม่ใช่ว่า อะไรๆ ก็ปู”
ผู้สื่อข่าวจึงถามว่า ระหว่างกั้งกับปูชอบกินอะไรมากกว่ากัน พล.อ.ประยุทธ์ ยิ้มอย่างรู้ทัน พร้อมกล่าวว่า “เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวพวกสื่อก็มาหาเรื่องผมอีก”
ขณะที่ประธานวิสาหกิจชุมชน บอกว่า ปูที่นี่หวานกว่าที่อื่น พล.อ.ประยุทธ์ยิ้มแล้วกล่าวว่า “แหม...เหรอ” พร้อมถามว่าแล้วทำไมไม่มีกุ้งบ้าง ก่อนกล่าวด้วยว่า “นายกฯชอบทุกอย่าง ถ้ามาแบบถูกกฎหมายนะ”
ครับก็ในการประชุมครม.สัญจรหนนี้มีวาระเกี่ยวกับปูในหัวข้อที่ 4 เรื่องการขยายผลธนาคารปูม้า เพื่อ “คืนปูม้าสู่ทะเลไทย”
โดย ครม.มีมติเห็นชอบการขยายผลธนาคารปูม้าเพื่อ “คืนปูม้าสู่ทะเลไทย” ไปสู่ชุมชนอื่นๆ อย่างรวดเร็วในชุมชนชายฝั่ง จำนวน 500 ชุมชน ในระยะเวลา 2 ปี ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอโดยให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นหน่วยงานบูรณาการหลักและหน่วยงานต่างๆ ร่วมดำเนินการ ดังนี้
1.ให้ วช. ขยายผลการพัฒนาธนาคารปูม้าโดยนำองค์ความรู้ด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่มีอยู่ พร้อมทั้งให้มีการทำวิจัยเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มอัตราการรอดของลูกปูม้า การอนุบาลแม่ปูไข่
นอกกระดอง และลูกปูม้า วัยอ่อน วิจัยแหล่งที่อยู่อาศัยของลูกปูม้าวัยอ่อน วิจัยช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมในการปล่อยลูกปูม้าคืนสู่ทะเล วิจัยเรื่องการขนย้ายลูกปูม้าลงทะเล
2.กรมประมง ออกแบบ/กำหนดวิธีการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรปูม้าโดยชุมชนมีส่วนร่วม มีมาตรการส่งเสริมการฝากแม่ปูม้าไข่นอกกระดองกับธนาคารปูม้าและการส่งเสริมให้ปูม้าไทยสู่ตลาดโลก โดยผ่านการประเมินตามเกณฑ์มาตรฐานสากล
3.กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเห็นชอบพื้นที่ที่จะใช้มาตรการอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
4.ธนาคารออมสิน สนับสนุนเงินทุน (สินเชื่อ) ให้ชุมชนเพื่อเริ่มทำและดำเนินการธนาคารปูม้าและการอนุบาลลูกปูม้าชายฝั่งชุมชนละประมาณ 150,000-200,000 บาท เพื่อเป็นเงินทุนในการจัดระบบธนาคารปูม้า การสนับสนุนโรงเรือนและเซลล์แสงอาทิตย์ และเงินทุนหมุนเวียนการดำเนินการ
5.บริษัทประชารัฐรักสามัคคีในพื้นที่ชายฝั่งทะเล ช่วยสนับสนุนด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์
6.บริษัทไปรษณีย์ไทย บริการนำปูม้าจากชุมชนที่มีธนาคารปูม้าไปเป็นสินค้าแนะนำที่สามารถซื้อขายได้
7.กระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศทั้งในช่องทางปกติและช่องทางออนไลน์
ครับเรื่องนี้ทาง วช.เขาสำรวจมา และมุ่งหวังว่าจะมีจำนวนลูกปูม้าในธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทรัพยากรบริเวณชายฝั่งทะเลมีความสมบูรณ์เพิ่มขึ้น ชาวประมงมีรายได้เพิ่มขึ้น
ถ้าชุมชนปล่อยไข่ปูม้าจากแม่ปูม้าได้เดือนละ 100 ตัว จะมีลูกปูม้าเพิ่มขึ้น 0.1-1 ล้านตัว จะทำให้มีรายได้จากการขยายปูม้า 2.5 ล้านบาท/ชุมชน/เดือน และหากขยายผลมากกว่า 1,000 ชุมชน จะมีมูลค่าถึง 2,500 ล้านบาท/เดือน ทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เศรษฐกิจฐานรากของประเทศเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน
ทั้งหมดนี้ จึงเป็นที่มาหัวข้อที่ 4 ในการประชุม ครม.ที่เพชรฯ ว่าด้วยเรื่องคืนปูม้าสู่ทะเลไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี