ปัจจัยตัวแปรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในประวัติศาสตร์ ดังที่ยกตัวอย่างในบทความครั้งก่อน คือ ความคิดและความศรัทธา ในเรื่องศาสนาหรืออุดมการณ์ ดังเช่น การเปลี่ยนศาสนาของชาวเดนมาร์กจากโรมันแคทอลิคไปเป็นลูเธอรัน ในศตวรรษที่ 16 หรือการที่ชาวอาหรับที่เร่ร่อนในทะเลทรายชั่วนาตาปี เกิดศรัทธาเชื่อถือในพระนาบีร์โมฮะหมัด และรวมตัวกันจัดตั้งอาณาจักรเมดินา ค.ศ.622 เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลก
อย่างไรก็ตาม ในกรณีทั่วไป การเปลี่ยนแปลงที่มักเกิดขึ้นในกระแสธารของประวัติศาสตร์ จะสืบเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวทางสังคม ที่เรียกว่า “Social Mobilization” ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของชนชั้น และการเคลื่อนไหวของชนชั้น กล่าวคือ เมื่อเกิดชนชั้นใหม่หรือกลุ่มใหม่ ก็มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อเป้าหมายบางประการ ที่อาจเป็นเรื่องของอุดมการณ์ แนวคิดหรือผลประโยชน์ของกลุ่ม
คาร์ล มาร์กซ์ อาจจะคิดสุดโต่ง ที่กล่าวว่า สังคมเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงจากสังคมข้าทาส สู่สังคมศักดินา และสังคมของนายทุน (ทุนนิยม) และจะนำไปสู่การปฏิวัติ และการกำจัดชนชั้นต่างๆ จนกระทั่งกลายเป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น หรือที่มีเพียงชนชั้นเดียว หรือกรรมกร (ชนชั้นกรรมาชีพ) แต่ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาร์ล มาร์กซ์คิดเสมอไป แต่แนวคิดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของชนชั้น ก็ยังมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์
ในยุคสมัยต้นของสังคมศักดินาของยุโรป เช่น อังกฤษ เมืองซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการปกครองของบ้านเมืองสมัยโรมันได้เสื่อมทรุดและถูกละทิ้งตั้งแต่ยุคมืด และยังรอเวลาที่จะฟื้นตัว สังคมในยุคศักดินาตอนต้น จึงเป็นสังคมของเหล่าขุนนางและทหารม้าอัศวิน กษัตริย์จากราชวงศ์นอร์มันซึ่งเข้ามายึดอังกฤษได้ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 นอกจากจะต้องจัดการกับบ้านเมืองให้เกิดความสงบสุข ก็ยังต้องเผชิญกับเหล่าขุนนาง ซึ่งเคยเป็นกำลังหลักของกองทัพนอร์มัน การกบฏของเหล่าขุนนางบางส่วนยังคงเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ หากกษัตริย์อ่อนแอก็จะพบกับปัญหาเช่นเดียวกับกษัตริย์ในบางแห่ง เช่น ฮังการี และโปแลนด์ ซึ่งเผชิญกับขุนนางที่มีอำนาจและกำลังกล้าแข็ง และเมื่อมีการร่างข้อตกลง หรือที่เรียกว่ากฎบัตรหรือรัฐธรรมนูญฉบับแรก เหล่าขุนนางก็สามารถกำหนดเงื่อนไขที่ผูกมัดกษัตริย์จนกระทั่งกษัตริย์จะทรงดำเนินการอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะจัดตั้งกองทัพทหารหรือเก็บภาษีโดยไม่ได้รับความยินยอมเห็นชอบจากสภาฐานันดร จนในที่สุด ทั้งฮังการี และต่อมาโปแลนด์ก็สูญเสียประเทศ ถูกเชือดเฉือนไปให้แก่มหาอำนาจรอบบ้านในปลายศตวรรษที่ 18 ทั้งนี้เพราะขาดความสมดุลของอำนาจระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง
ปัญหาข้อนี้ กษัตริย์แห่งราชวงศ์นอร์มันของอังกฤษ ทรงตระหนักดีจึงมีกุศโลบายที่จะแบ่งแยก (ลดทอน) อำนาจของขุนนางด้วยวิธีต่างๆ เช่น ป้องกันมิให้ขุนนางระดับสูงสุด (ท่านเอิร์ล) มีที่ดิน/ฐานอำนาจรวมอยู่ในมณฑลหนึ่งมณฑลใดโดยเฉพาะ และประการที่สอง จัดตั้งศาลพระราชา (King’s Court) ในมณฑลต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ราษฎรในแต่ละมณฑล ซึ่งอาจเลือกได้ระหว่างนำคดีไปที่ศาลขุนนาง หรือศาลของพระราชา เป็นการคานอำนาจระดับล่าง
ประการที่สาม เมื่อภัยรุกรานจากอนารยชนลดลง และเมืองเริ่มกลับฟื้นคืนชีพ กษัตริย์ทรงส่งเสริมให้เกิดเมืองและความเจริญเติบโตของเมือง โดยทรงมอบ “กฎบัตร” (Charter) ให้สิทธิเสรีภาพแก่เมืองที่ผู้ใด (ขุนนาง) จะเข้าไปลิดรอนมิได้ สิทธิเสรีภาพนี้หมายความว่าใครผู้ใดที่เข้าไปมีภูมิลำเนาในเขตเมืองก็จะได้สถานะเป็น “Freeman”- เสรีชน ซึ่งชาวชนบทส่วนใหญ่ที่มีฐานะเป็น “ไพร่” (Serfs) ปรารถนา ผลโดยรวมทำให้เมืองเจริญเติบโตรวดเร็วขึ้น และจำนวนไพร่ในชนบทซึ่งเป็นกำลังสำคัญของขุนนางก็มีโอกาสลดจำนวนลง ตรงข้ามกับประเทศในยุโรปตะวันออก เช่น รุสเซีย ซึ่งจำนวน“ไพร่” และข้าทาสกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นในศตวรรษที่ 18-19 นำไปสู่ช่องว่างระหว่างชนชั้นสูงกับชนชั้นต่ำ จนเชื่อมไม่ติด ก่อให้เกิดสถานการณ์ปฏิวัติในปลายศตวรรษที่ 19
โดยสรุปในภาพรวม ยุทธศาสตร์ชาติระดับมหภาคคือการรักษาความสมดุลของชนชั้น หรือนัยหนึ่งต้องพยายามลดช่องว่างของชนชั้นและป้องกันมิให้ชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีอำนาจเหนือกลไกตลาด หรือกลไกของรัฐ (เช่น ระบบตุลาการ, การเลือกตั้ง) ในขณะเดียวกันก็สร้างเสริมเติมพลังให้ชนชั้นใหม่ (หัวก้าวหน้า มีการศึกษาดี มีความเป็นพลเมืองกล้าแข็ง เสียสละ) โดยกระบวนการศึกษา ฉะนั้น “กลุ่มคน”ที่จะต้องเพาะเลี้ยงด้วยความพิถีพิถันก็คือชนชั้นนักคิดนักประดิษฐ์ นักวิชาการ และครูอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งจะเป็นตัวแปรให้เกิดคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความเข้าใจสังคม-การเมือง-เศรษฐกิจ-วัฒนธรรม ของประเทศและของโลก และมีอุดมการณ์และศรัทธาในอุดมการณ์ที่จะปฏิรูปสังคมและบ้านเมืองของเรา เช่นเรื่องการขจัด/ลดการทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกๆ มิติทุกๆ วงการ การรณรงค์ของคนรุ่นใหม่และการจัดตั้งองค์กรเพื่อการรณรงค์ การสร้างเครือข่ายทั้งระดับแนวราบและแนวดิ่ง การผลิตข้าราชการระดับหัวกะทิที่มีคุณธรรม เข้าสู่ระบบราชการเพื่อการปฏิรูป การออกกฎหมาย/กฎเกณฑ์ใหม่เพื่อทดลองกับบางหน่วยงานที่จะเป็นตัวนำในการปฏิรูป และขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น นี่คือยุทธศาสตร์ 20 ปี ที่รัฐบาลชุดนี้ควรจะได้กำหนดขึ้นเป็นอันดับแรก
ขณะเดียวกันผลของการรณรงค์เพื่อขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นก็จะกระทบต่อการดำเนินการและยุทธศาสตร์การรณรงค์ของพรรคการเมือง เช่น อาจเปลี่ยนจุดเน้นจากการรณรงค์ที่มีตัวผู้สมัครเป็นศูนย์กลาง ให้เอนเอียงไปที่พรรคการเมือง นโยบายพรรคและโปรแกรมการปฏิรูป เป็นศูนย์กลางที่เรียกว่า “Programmatic Campaign” การรณรงค์โดยยึดความคิด/การปฏิรูปเป็นตัวนำ
นอกจากนั้น หากการรณรงค์เรื่องการปฏิรูปและการขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดผลสำเร็จและแผ่ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศก็จะมีอิทธิพลต่อการรณรงค์หาเสียงในระดับพื้นที่ในตัวเมืองในภูมิภาค อาจมีผลต่อการจัดการของพรรคการเมือง แต่น่าเสียดายที่กฎหมายเลือกตั้งออกกฎหมายการเลือกตั้งค่อนข้างพิสดาร ไม่แน่ชัดว่าจะมีผลต่อการพัฒนาพรรคการเมืองอย่างไร การปฏิรูปพรรคจึงควรถูกนำเข้าสู่การอภิปรายสาธารณะ เท่าๆ กับเป็นเรื่องของแต่ละพรรคการเมือง
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี