“ดร.พิมพ์ระพี พันธุ์วิชาติกุล” ทายาทของนักการเมืองอาวุโสผู้เป็นหลักแห่งวงการการเมืองไทยหลักหนึ่ง อย่างนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล นำเสนอมุมมองต่อท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เอาไว้อย่างเฉียบคม ผ่านเฟซบุ๊ค Pimrapee Phanwichatikul (ไปกดติดตามกันได้) โดยตั้งคำถามว่า รัฐบาลนี้ควรแสดงออกอย่างที่กำลังแสดงออกหรือไม่ และลำดับเหตุการณ์ให้เห็นด้วยว่า ท่าทีก่อนหน้านั้น รัฐบาลนี้แสดงออกอย่างไร
โดย ดร.พิมพ์ระพี เขียนไว้ว่า...
กระบอกเสียงของรัฐบาล คสช. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาพูดถึงการชนะคดีค่าโง่คลองด่านที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา ให้เพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ ที่ให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายในโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ มูลค่ากว่า 9 พันล้านบาท ให้กับ 6 บริษัทร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี ในทำนองว่าเป็นผลงานของรัฐบาลคสช. โดยอ้างอิงคำพูดนายกรัฐมนตรีว่า
“นายกฯย้ำว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการรักษาประโยชน์ของรัฐและประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาอาจไม่สามารถดำเนินการได้ในรัฐบาลปกติ เพราะอาจถูกกดดันจากหลายฝ่าย โดยฐานเสียงหรือคะแนนนิยมจากฝ่ายตรงข้าม...”
ทำให้สื่อมวลชนเกือบทุกฉบับนำไปพาดหัวประเด็นนี้เกือบจะเป็นทิศทางเดียวกันว่า “นายกฯ โว ฟื้นคดีค่าโง่สำเร็จ/รัฐบาลปกติทำไม่ได้” สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือถูกนำไปบิดเบือนได้ว่า เพราะอยู่ในสถานการณ์พิเศษกับรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ จึงทำให้ผลของคดีออกมาเช่นนี้
การหยิบเอาคำพิพากษาของศาลปกครองมาเป็นผลงานของรัฐบาลคสช.ในครั้งนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจ 3 ประการ ที่สังคมไทยควรร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้
1.บทบาทของรัฐบาลคสช.ต่อกรณีนี้ตั้งแต่แรกเป็นอย่างไร
2.การฟื้นคดีค่าโง่เป็นผลงานของรัฐบาลคสช.จริงหรือไม่
3.รัฐบาลปกติจะไม่สามารถดำเนินการได้จริงหรือเปล่า
เริ่มจากบทบาทของรัฐบาล คสช.ต่อกรณีค่าโง่คลองด่าน มาไล่เลียงดูกันว่าเป็นอย่างไร
21 พ.ย. 2557 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษ ชำระค่าเสียหายกว่า 9.6 พันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ให้กับกลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG
17 ส.ค. 2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระบุ
“รัฐบาลต้องเสียเงินเพราะเขาฟ้องมานานแล้ว นี่ก็ต่อรองลดไปเยอะแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเสียดอกเบี้ยมากกว่านี้ ให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯไปดูแลจนถึงนาทีสุดท้ายและไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ท่ามกลางเสียงทักท้วงจากหลายฝ่ายว่ารัฐไม่ควรเร่งรีบจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว เนื่องจากคดีอาญาเกี่ยวกับการทุจริตโครงการที่ข้าราชการสมคบกับเอกชนยังไม่สิ้นสุด อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจึงควรรอให้ศาลฎีกามีคำพิพากษาก่อน แต่รัฐบาล คสช.ไม่รับฟังคำท้วงติงดังกล่าว
17 พ.ย. 2558 ครม.รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ให้จ่ายค่าโง่คลองด่านให้กับกลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG รวมมูลค่ากว่า 9.6 พันล้านบาท โดยแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด งวดแรกจ่าย 40% ภายในวันที่ 21 พ.ย. 2558 จำนวน 3,174.58 ล้านบาท งวดที่ 2 จ่าย 30% ภายในวันที่ 21 พ.ค. 2559 จำนวน 2,380.93 ล้านบาท และงวดสุดท้าย 30% ภายในวันที่ 21 พ.ย. 2559 จำนวน 2,380.93 ล้านบาท มีการจ่ายไปแล้วสองงวด
17 ธ.ค. 2558 หลังจากครม.ของพล.อ.ประยุทธ์ มีมติจ่ายเงินค่าโง่คลองด่านเพียงแค่เดือนเดียว ศาลอาญามีคำพิพากษาคดีทุจริตคลองด่าน จำคุกอดีตอธิบดี, อดีตรองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และอดีตผอ.กองจัดการคุณภาพน้ำ คนละ 20 ปี โดยในคำพิพากษายังระบุถึงกลุ่มกิจการร่วมค้าฯด้วยว่า บิดเบือนข้อเท็จจริงและปกปิดข้อเท็จจริงการเสนอแต่ละขั้นตอนโดยทุจริต
วันเดียวกันหลังคำพิพากษาของศาลอาญาหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการจ่ายเงินให้เอกชนแต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า
“มีการจ่ายเงินงวดแรกไปแล้ว ไม่ทราบว่าจะชะลอทำไม เพราะแม้จะมีคดีความอยู่ในชั้นศาลอื่นๆ มันก็เป็นคนละส่วนกับที่ศาลปกครองสูงสุดให้รัฐชำระค่าเสียหายภายใน 90 วัน เนื่องจากตรงนี้รัฐเป็นหนี้เขา ส่วนความรับผิดทางอาญาในข้อหาฉ้อโกงเป็นคนละส่วนกัน...”
ในขณะที่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับนายวิษณุ
มีการเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้รัฐยื่นศาลปกครองเพื่อรื้อคดีใหม่โดยใช้คำพิพากษาของศาลอาญาเป็นหลักฐานใหม่ แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ จากรัฐบาลในขณะนั้น
15 มี.ค. 2559 นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตรมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ฟ้องศาลปกครองขอให้รื้อคดีค่าโง่คลองด่านใหม่ โดยใช้คำพิพากษาศาลอาญามาเป็นหลักฐานใหม่ขอให้รื้อคดี แต่ศาลปกครองยกคำร้องเนื่องจากไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย
20 เม.ย. 2559 ปรากฏข่าวคณะอนุกรรมาธิการศึกษาเสนอแนะมาตรการและกลไกในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในกมธ.วิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เสนอนายกฯชะลอจ่ายค่าโง่คลองด่านงวดที่สอง ที่ถึงกำหนดชำระ 21 พ.ค. 2559 ออกไปก่อน
11 พ.ค. 2559 หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาเกือบ 5 เดือน ปปง.จึงมีมติอายัดค่าโง่คลองด่านงวด 2,3 โดยอ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ระบุว่า เอกชนสมรู้ร่วมคิดทุจริตตั้งแต่ต้น และการทำสัญญามีที่มาไม่ถูกต้องจึงถือว่าเป็นโมฆะ มาเป็นเหตุผลในการอายัดการจ่ายค่าโง่ดังกล่าว
16 พ.ค. 2559 ครม.มีมติให้ชะลอการชำระค่าโง่คลองด่านงวดสองและสาม ไว้ก่อน และเห็นชอบให้กระทรวงการคลังไปร้องต่อศาลปกครองเพื่อให้พิจารณาคดีใหม่
6 มี.ค. 2560 ศาลปกครองกลางพิพากษาสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ ให้จ่ายค่าโง่คลองด่าน โดยอ้างถึงพยานหลักฐานในคดีอาญาว่า เป็นหลักฐานใหม่ที่ชี้ชัดว่ามีขบวนการทุจริตจนนำไปสู่การทำสัญญาไม่ชอบ
จากลำดับเหตุการณ์ข้างต้น จะเห็นว่าบทบาทของรัฐบาลคสช. ต่อกรณีค่าโง่คลองด่านนั้น เป็นไปในทิศทางที่จะจ่ายเงินให้เอกชนมากกว่าการขอรื้อคดีใหม่ แต่เกิดกระแสทักท้วงต่อเนื่อง รัฐบาลจึงตัดสินใจฟ้องคดีในที่สุด
ส่วนประเด็นที่สอง การรื้อคดีค่าโง่คลองด่านครั้งนี้เป็นผลงานของรัฐบาลคสช.หรือไม่นั้น คงต้องพิจารณาถึงเสียงทักท้วงก่อนที่รัฐบาลคสช.จะตัดสินใจจ่ายค่าโง่คลองด่าน ทั้งๆ ที่คดีอาญายังไม่สิ้นสุดด้วยว่า รัฐบาลรับฟังหรือไม่ และการไม่รับฟังจนนำไปสู่การจ่ายค่าโง่งวดแรกไปแล้วกว่า 3 พันล้านบาท เป็นความรับผิดชอบที่รัฐบาลคสช.ต้องติดตามนำเงินดังกล่าวคืนกลับมาหรือเปล่า
ประเด็นสุดท้ายที่ว่ารัฐบาลปกติจะไม่สามารถดำเนินการได้นั้น เป็นการกล่าวหาแบบเลื่อนลอย และขัดแย้งในตัวเอง เพราะหากข้อกล่าวอ้างว่ารัฐบาลปกติทำไม่ได้ เนื่องจากอาจถูกกดดันจากหลายฝ่าย โดยฐานเสียงหรือคะแนนนิยมจากฝ่ายตรงข้ามเป็นความจริง รัฐบาลปกติยิ่งต้องรื้อคดีนี้ เนื่องจากอยู่ในความสนใจของประชาชนและมีเสียงทักท้วงอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลในสถานการณ์ปกติ หรือรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ล้วนมีหน้าที่ในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติทั้งสิ้น มิควรนำคำพิพากษาของศาลใดๆ มาอ้างอิงเป็นผลงานของรัฐบาลตนเพื่อคงไว้ซึ่งดุลอำนาจของตุลาการ
หากทบทวนดูตั้งแต่ต้นจนจบ นี่คือการ “ทำงานเชิงตรวจสอบ”
เราต้องการ “นักการเมือง” ที่รักการตรวจสอบ และตรวจสอบอย่างมีขั้นตอน รายละเอียด หลักการและเหตุผล
เราขับเคลื่อนบ้านเมืองด้วยการ “เอาหน้า-ตบตา” เช่นกรณี นายทักษิณ ชินวัตร คุยโวว่า ปลดหนี้ไอเอ็มเอฟให้ประเทศไทย ฯลฯ มามากพอแล้ว เช่นเดียวกับการขับเคลื่อนบ้านเมืองและตรวจสอบเพราะความโกรธเกลียดชิงชังมาเกินพอแล้ว
ถึงเวลาที่เราควรสนับสนุน “นักตรวจสอบที่ใช้เหตุใช้ผล” ให้เป็นตัวอย่าง เป็นแรงจูงใจให้สังคมทำตาม
ท่าทีนี้และข้อเขียนนี้ของ ดร.พิมพ์ระพี คือตัวอย่างที่ดี ที่ควรสนับสนุนให้คนอื่นๆ เรียนรู้และช่วยกันขับเคลื่อนบทบาทแบบนี้ เพื่อเปลี่ยนแปลงความไม่ถูกต้องของบ้านเมือง ให้กลับมาถูกต้องด้วยท่าทีสร้างสรรค์
ติดตามผลงานของเธอได้ ผ่านเฟซบุ๊คดังกล่าวนี้ และรายการ “คิดเช่น Gen.D” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “ฟ้าวันใหม่” ทุกวันอังคาร เวลา 19.10-20.00 น.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี