ความหวังหนึ่ง ของการมีรัฐบาลจากการรัฐประหาร คือ เป็นช่วงเวลาของการ “ปลอดพ้นนักการเมือง” ซึ่งประชาชนเชื่อว่า เป็นต้นเชื้อแห่งการทุจริตคดโกง นั่นหมายความว่า ในยุค คสช. การโกงจะไม่มี และการโกงที่เคยมี จะถูกปราบปรามจนสิ้นซาก!!
นี่คือ “ความฝันอันสูงสุด” ของฝ่ายประชาชน
แต่จะเป็น “ปณิธานที่หาญมุ่ง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กับ คสช. ด้วยหรือไม่นั้น ไม่มีใครตอบได้ นอกจาก “การกระทำ” ที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์
ช่วงปีแรก คสช. สั่งกวาดล้างจัดระเบียบ บ้านเมืองที่ “ไร้ระเบียบ” และ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” มานาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดระเบียบชายหาด ทางเท้า คิวมอเตอร์ไซค์ วินรถตู้ ฯลฯ
ประชาชนล้วนสรรเสริญชื่นชม!!
ถัดมามีการใช้ ม.44 รวบรวมบัญชีรายชื่อข้าราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่พัวพันกับการถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชั่น มา “ขึ้นบัญชี” และให้ “พ้นจากตำแหน่ง” ไว้ก่อน ระหว่างรอการตรวจสอบที่แน่ชัด
ประชาชนยิ่งชอบอกชอบใจ
พลันที่เกิดเรื่อง “หลานชาย” ใช้ที่อยู่ในค่ายทหาร จดทะเบียนบริษัท และนำบริษัทเข้าเป็นคู่สัญญา รับงานจากกองทัพ แล้วกระบวนการตรวจสอบกับข้อสรุป แผ่วหายไป ไม่ชัดเจน ไม่เต็มปากเต็มคำ ไม่แถลงให้เป็นที่ปรากฏ
ประชาชนเริ่มนิ่ง!
ในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน ก่อนหลังจากกันไม่มาก ก็มีเรื่อง “อุทยานราชภักดิ์” อันนี้ครึกโครมมาก แต่เห็นชัดว่ามีกระบวนการตรวจสอบและแถลงชัดเจนถึงบทสรุป จบได้!
มีเรื่องรองนายกฯ เหมาเครื่องบินไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมที่ฮาวาย ก็มีการตรวจสอบ ชี้แจง สรุป จบได้!
มาสะดุดโครมใหญ่ด้วยเรื่อง “นาฬิกา” ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าด้วยเรื่อง “แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน-และ ป.ป.ช. ลูกน้องเก่าของน้องชาย”
ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง และเวลาที่เนิ่นนาน หลังผ่านพ้นการมีรัฐธรรมนูญ บีบคั้นให้ตอบคำถามเรื่อง “มาตรฐานการปราบโกง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดังกระหึ่มขึ้น เสียงเข้มขึ้น และจริงจังมากขึ้น
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะยืนบนหลักการว่า นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของพลเอกประวิตร ไม่ใช่เรื่องงบประมาณแผ่นดิน และเป็นเรื่องที่ ป.ป.ช.ตรวจสอบอยู่ก็ตาม แต่ใช่ว่าทุกคนจะ “รับได้” กับหลักการนี้
มาถึงระยะนี้ “การโกง” โผล่ขึ้นให้สังคมตกใจใน “ความเลวทราม” ของการโกง ชนิด โกงเงินวัด โกงเงินผู้ป่วย โกงเงินคนจน โกงเงินคนชรา โกงเงินการศึกษา ทำกันได้ยังไง!!
จังหวะนี้เอง หาก พล.อ.ประยุทธ์ จะเห็นเป็น “โอกาส” ในการสร้างผลงานระดับ “ตำนาน” ให้เป็นที่จดจำ เป็นที่กล่าวถึง เป็นต้นแบบที่ประเสริฐแก่บ้านแก่เมืองละก็ มาจดจ่อและจัดการกับเรื่องการ “ปราบโกง” ให้จริงจัง เข้มข้น ท่านจะ “ได้ใจ” ประชาชนมากขนาดไหน
แล้วท่าทีของท่านกับเรื่องนี้เป็นอย่างไร ตรงกับความคาดหวังของผู้คนไหม มาดูกันครับ
ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงปัญหาการทุจริตในโครงการของกระทรวงต่างๆ ว่า เรื่องทุจริตมีหลายหน่วยงานที่ปรากฏออกมา ไม่ใช่ว่ารัฐบาลนี้ปล่อยปละละเลย มีการตั้งกรรมการสอบสวนอยู่ แต่กระบวนการสอบสวนบางครั้งมันช้าเกินไป วันนี้ได้เร่งรัดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ไปตรวจในทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน หรือทุกงบประมาณที่มีปัญหา
ทั้งนี้ ที่ตนต้องเน้นตรงนี้ เพราะเป็นการใช้งบประมาณโดยตรงจากรัฐ เช่น ในโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเงินคนไร้ที่พึ่ง โครงการจ้างงาน และโครงการเงินทุนการศึกษา
ซึ่งโครงการเหล่านี้มีมานานแล้ว และตนเคยบอกแล้วว่ามันก็อยู่ที่ผู้ได้รับผลประโยชน์ อยู่ที่เจ้าหน้าที่ อยู่ที่ประชาชนส่วนหนึ่งที่ได้ประโยชน์ก็เข้าร่วมมือด้วย และด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาให้อะไรมาก็เอาหมด บังเอิญโชคดีระหว่างการสอบสวนมีผู้หญิงกับผู้ชาย 2 คน มาให้ข้อมูลก็เป็นสิ่งที่น่าชมเชย ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนต้องร่วมมือกันมีหลักฐานก็ออกมาพูดจะทางลับ หรือเปิดเผยก็ได้ ตนก็รับหมด
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้ทั้ง 3 เรื่องดังกล่าว มีคนมาให้ข้อมูลมีเจ้าหน้าที่ต่างๆ ให้ข้อมูลแล้ว คือเขากล้าขึ้นจะไม่อยู่ร่วมขบวนการอีกต่อไป มันสะสมมายาวนาน ก็อยากให้ไปทบทวนกันให้รู้ว่ารัฐบาลนี้เอามาเปิดเผยกี่เรื่องแล้ว คดีใหญ่ๆ เล็ก กลาง ก็มาหมด ไม่ใช่รัฐบาลปล่อยปละละเลย เพียงแต่มันต้องสอบสวนหาสาเหตุ หลักฐานวัตถุพยานบุคคลมาให้ได้ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมเป็นพยานกันเพราะกลัว
“ก็ต้องขอย้ำว่า ไม่ต้องกลัวหรอก ผมดูแลคุ้มครองให้ เพราะใครที่ไปทำร้าย ไปรังแก เอางบประมาณที่จะต้องไปถึงคนจน คนเหล่านี้ผมถือว่าแย่มาก คนที่ด้อยโอกาสแล้วยังไปเอาของเขามาอีก ผมว่ามันน่าอับอาย ในทาง
ศีลธรรมก็ไม่ได้อีก หลายกระทรวง ผมกำลังให้ ป.ป.ท.ลงไปตรวจสอบอยู่ในกรณีการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ มันต้องให้ความชัดเจนและให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้น” นายกฯ กล่าว
ด้าน พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการทุจริตเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่งงบฯปี’60ว่า ล่าสุดป.ป.ท.ได้ตรวจสอบศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งที่ได้รับงบฯทั้ง 76 ศูนย์พบศูนย์ที่เข้าข่ายการทุจริตมากถึง 44 ศูนย์แล้ว โดยอีก 32 ศูนย์ที่เหลือ กำลังให้เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบ
พ.ท.กรทิพย์ กล่าวว่า ส่วนรูปแบบการทุจริตจนถึงขณะนี้ต้องบอกว่า มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ไม่เหมือนกันทุกศูนย์ แต่ที่เจอเหมือนๆ กัน คือเอาหลักฐานของคนอื่นมาเบิกเงิน แล้วก็นำเงินมาจ่ายบ้าง ไม่จ่ายบ้างหรือไม่จ่ายเลยก็มี ส่วนที่ต่างกันก็คือ เรื่องการไปนำรายชื่อหลักฐานมาเบิกเงิน
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ามีผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ หักหัวคิวหรือเงินจากโครงการนี้ ตั้งแต่ร้อยละ 20-50 ลักษณะคล้ายกับทุจริตเงินทอนวัดนั้น พ.ท.กรทิพย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ ป.ป.ท.ก็ได้ข้อมูลเบาะแสมาเช่นกัน อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ
“ล่าสุดเริ่มได้เค้าลางของผู้เกี่ยวข้องน่าจะเป็นคนนอกศูนย์แล้ว ข้อมูลที่ได้ยังไม่ได้ระบุถึงว่ารับเงินทอนมากี่เปอร์เซ็นต์จากโครงการนี้และเกี่ยวข้องในฐานะอะไร จะเป็นผู้ร่วมทำผิดหรือพฤติการณ์อื่น ต้องขอเวลา” พ.ท.กรทิพย์ กล่าว
และว่าตอนนี้เห็นรูปร่างของคนนอกศูนย์ฯแล้ว เหลือขอข้อมูลที่ชัดเจนเพื่อเติม คิ้ว ตา จมูก ปาก เพื่อจะได้ระบุชัดว่าเป็นใคร ตอนนี้เห็นชัดกว่าร้อยละ 80 แล้วว่าเป็นใครพบว่ามีมากกว่า 1 คน ส่วนเป็นขบวนการหรือไม่ ขอเวลาอีกไม่นาน ไม่น่าจะเกิน 31 พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นกำหนดจบภารกิจจะทราบแน่นอน
อย่างไรก็ตาม พ.ท.กรทิพย์ กล่าวว่า หลังเป็นข่าวทำให้การลงพื้นที่ตรวจสอบพบปัญหาที่ทุกศูนย์ฯ ทำเหมือนกันคือ การพยายามสร้างพยาน หลักฐานเท็จ โดยไปพบพี่น้องประชาชนไปบอกว่า ถ้าป.ป.ท.ลงไปตรวจสอบให้บอกว่าได้เงินแล้ว ปรากฏการณ์เช่นนี้ขอเรียกว่าเป็นการฆ่าตัวเองเพราะรู้ว่ากระทำผิดแล้วยังกล้ากระทำผิดซ้ำครั้งสอง และยังไปลากประชาชนมาเดือดร้อนด้วย
“ย้ำว่าจากการลงพื้นที่พบว่าประชาชนไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เจ้าหน้าที่ศูนย์บอกทั้งหมดแล้วทุกคนให้ความร่วมมือกับป.ป.ท.อย่างดี การจะมาทำหลักฐานใหม่ไม่ได้ทำให้ความผิดที่เกิดแล้วลดลง ขอเตือนว่าอย่าทำดีกว่าและขอให้หันมาร่วมให้ข้อมูลความจริงกับป.ป.ท.จะดีกว่า” พ.ท.กรทิพย์ กล่าว
ผมคิดว่า ถ้าช่วงเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ เลือกที่จะ “กำกับ-ติดตาม” และ “จริงจัง” กับเรื่องเหล่านี้ เป็น “เรื่องหลัก” หยุดเสนอภาพของตัวเองในลักษณะผู้นำที่ทำงานแบบ “เบี้ยหัวแตก” มาจับงานที่ดู “เป็นชิ้นเป็นอัน” และ “สมกับอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” ที่มี พลังแห่งการเป็น ผู้นำที่ดี” การรับรู้ และภาพจำของผู้คนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์จะดีขึ้น มากขึ้น และนานขึ้น ไม่วูบวาบ-วูบไหว
อย่างไรก็ตาม สังคมเองก็ต้องแยกแยะว่า “การโกง” ที่ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดในช่วงเวลานี้ เป็นการโกงของ “ข้าราชการเลวๆ” ที่ทำมานานแล้ว ทำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่การโกงของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซึ่งควรจะทำให้สมการเดิมในความคิดของ “ลุงตู่” และประชาชนเปลี่ยนไปบ้าง จากที่เอาแต่เพ่งโทษเฉพาะ “นักการเมือง” คราวนี้เห็นกันชัดเจนมากว่า “ศักยภาพแห่งการโกง” ของข้าราชการนั้น ก็ทำ “ความฉิบหาย” ได้มากขนาดไหน
การ “โปร” ข้าราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ จะได้เพลาลงบ้าง แต่มาสร้างระบบที่มีการตรวจสอบ ดุลและคานอำนาจ เพื่อป้องกันความเบ็ดเสร็จจนนำไปสู่การ “โกงอย่างเบ็ดเสร็จ” ในระดับข้าราชการได้อย่างสมบูรณ์
นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊คในทำนองเดียวกันนี้ว่า
“ช่วงนี้มีข่าวหนาหูเรื่องการทุจริตในระบบราชการทั้งในเรื่องที่เกี่ยวกับวัด โรงเรียน คนจน ผู้ป่วยเอดส์ ฯลฯ บางกรณีกินเปอร์เซ็นต์กันสูงถึง 80%
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า “ไม่มีนักการเมือง” ก็โกงได้ (และอาจจะน่ากลัวกว่า เพราะไม่มีฝ่ายค้านคอยจับผิด)
ผมเห็นว่าการช่วยเหลือประชาชนยังจำเป็น แต่จากนี้ไปเราต้องพยายามช่วยโดยตรง ไม่ให้ผ่านมือข้าราชการ ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าข้าราชการไม่ดีหมด แต่ในทุกวงการ เมื่อมีเงินผ่านมือ ‘คนกลาง’ เมื่อไร เป็นยุ่งทุกที
ที่บ้านผมจะโดนภรรยาดุเสมอทุกๆ ครั้งที่ผมวางเงินสดหรือกระเป๋าตังค์ไว้ที่โน่นที่นั่น ภรรยาผมจะพูดว่าเราไม่ควรไป ‘ยั่ว’ ให้เด็กที่บ้านต้องมีกิเลส เพราะโดยธรรมชาติคนส่วนใหญ่ไม่ขี้ขโมย แต่ทุกคนมีความอ่อนไหวและความต้องการ ดังนั้นอย่าไปเปิดช่องให้คนดีกลายเป็นโจร
แม้ในสมัยที่เราเป็นรัฐบาลเราพยายามใช้หลักการนี้มาตลอด เช่น การช่วยเหลือชาวนาเราใช้ “ประกันรายได้” โอนเงิน “ส่วนต่าง” ตรงเข้าบัญชีชาวนา ไม่ผ่านมือใคร หรือตอนเราช่วยผู้มีรายได้น้อย เราทำ “เช็คช่วยชาติ” โอนตรงให้ผู้รับเงิน ไม่ต้องผ่านหน่วยราชการ หรือแม้แต่เรียนฟรี เราโอนค่าชุดนักเรียนให้ผู้ปกครองไปซื้อเอง ไม่เปิดโอกาสให้มีการทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง
โครงการเหล่านี้มีข้อบกพร่องไม่ใช่ไม่มี แต่อย่างน้อยการรั่วไหลแทบไม่มีโอกาส เพราะเราจ่ายตรง ไม่ผ่านมือใคร
ยิ่งด้วยเทคโนโลยี ระบบพร้อมเพย์ของรัฐบาลเอง และการยืนยันตัวเองด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ผมไม่เห็นว่าทำไมเงินยังต้องผ่านมือข้าราชการมากถึงขนาดนี้
การปราบโกงมีเรื่องต้องทำหลายระดับ ขึ้นอยู่กับว่าเอาจริงแค่ไหนครับ”
สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำตอนนี้ คือฉายภาพ “ผู้รังเกียจการโกง” และจะ “ปรางโกง” ให้เป็นที่ประจักษ์ ให้เป็นตำนานแห่งการปราบโกงบนผืนแผ่นดินไทย ที่จะถูกกล่าวขวัญถึงไปชั่วกัลปาวสาน!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี