เรื่องราวของ EEC กำลังเป็นที่กล่าวขานอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในบรรดาผู้รักห่วงหวงแหนชาติบ้านเมืองว่า โครงการนี้จะเป็นประโยชน์แท้แก่บ้านเมืองหรือไฉน
ที่สำคัญคือโครงการนี้ไม่ใช่เป้าหมายในการเข้ามามีอำนาจของ คสช.และไม่ได้อยู่ในแผนเริ่มแรกของการบริหารบ้านเมืองของ คสช. และรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งมาเป็นข่าวคราวหลัง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ถูกปลดพ้นออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ
แม้ในขณะนี้ร่างกฎหมาย EEC ก็ยังไม่ได้ประกาศใช้ ยังอยู่ในขั้นตอนการนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯซึ่งมีเสียงทักท้วงจากทุกสารทิศว่า เนื้อแท้ของร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นอันตรายต่อบ้านเมืองยิ่งกว่าร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจสุวรรณภูมิที่ถูกคว่ำไปในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยหลายสิบเท่า
ทว่าทั้งที่ยังอยู่ในขั้นตอนแห่งพระราชอำนาจ แต่กลับมีคนขับเคลื่อนเรื่อง EEC ราวกับว่าเป็นความเป็นความตายของบ้านเมือง ถึงขนาดระบุว่าไม่ทำเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว
ก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นความเป็นความตายของบ้านเมืองจริงๆ เพราะต้องกู้เงินมาลงทุนเกือบทั้งหมดของวงเงินที่ประเทศไทยสามารถที่จะกู้ยืมเงินได้ โดยที่ไม่ปรากฏว่าประเทศชาติจะได้รับประโยชน์ตอบแทนอะไรบ้าง และที่สำคัญคือไม่มีใครรู้ว่า เนื้อหาที่แท้จริงของโครงการนี้เป็นอย่างไร และทำเพื่อประโยชน์ของใครกันแน่
สิ่งที่เรียกว่า EEC หรือเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก เนื้อแท้ก็คือโครงการพัฒนาสามจังหวัดในภาคตะวันออก
คือ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นจังหวัดเล็กๆ ของพื้นที่ด้านในประเทศ ไม่ได้เป็นระเบียงเศรษฐกิจหรือติดกับประเทศเพื่อนบ้านแต่อย่างใด ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดพื้นที่แบบนี้จึงใช้คำว่า “ระเบียงเศรษฐกิจ”
ในขณะที่ระบุว่าเป็นการพัฒนาพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคตะวันออก แต่กลับมีโครงการที่เชื่อมไปอีกหลายจังหวัด ที่สำคัญคือโครงการเชื่อมท่าเรือสามแห่งในภาคตะวันออก ซึ่งปรากฏอยู่ในบัญชีงานของบริษัทใหญ่ และถูกนำมาเปิดเผยในห้วงเวลาเกิดกรณีฆ่าเสือดำ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกเพราะกฎหมายก็ยังไม่ผ่าน การประมูลก็ยังไม่มี แต่ไฉนเล่าจึงไปอยู่ในบัญชีงานของเอกชน
อีกโครงการหนึ่งคือโครงการเชื่อมรถไฟสามสนามบิน จากสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ถึงสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเจ้าสัวรายหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ได้รับการขอร้องให้ทำ จะมีใครยกให้กับใครได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ
ที่สำคัญคือไม่มีใครรู้ว่าโครงการนี้จะทำกันอย่างไร เพราะดูเหมือนเป็นเรื่องลับราวกับเป็นเรื่องความมั่นคงเกี่ยวข้องกับความเป็นตายของประเทศ ทั้งที่เป็นเรื่องสาธารณะที่ควรต้องเปิดเผยแก่ประชาชน
โชคดีที่ประชาคมของชาวรถไฟได้ร่วมกันจัดตั้งประชาคมคัดค้านการให้เช่าที่ดินมักกะสัน ซึ่งได้ทำหนังสือลงวันที่ 9 และวันที่ 14 มีนาคม 2561 ถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
ในหนังสือดังกล่าวได้เปิดเผยข้อความที่น่าสนใจและน่าตกตะลึงหลายรายการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนและผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งหลายจะต้องรีบทำการตรวจสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ประการใดก่อนที่จะสายเกินการณ์
ตามหนังสือดังกล่าวได้ระบุถึงข้อเท็จจริงหลายเรื่อง ที่สำคัญคือ
ข้อแรก โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินคือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา ระยะทาง 226 กิโลเมตร มี 9 สถานี คือ ดอนเมือง บางซื่อ มักกะสัน สุวรรณภูมิ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ศรีราชา พัทยา และอู่ตะเภา
ข้อสอง โครงการนี้รัฐบาลจะให้เงินลงทุนด้านโยธา 1.2 แสนล้านบาท พร้อมเงินค่าเวนคืนที่ดิน 3,787 ล้านบาท
ข้อสาม ผู้ได้รับคัดเลือกให้ร่วมลงทุนได้สิทธิ์พัฒนาที่ดินของการรถไฟฯสองแปลง คือแปลงมักกะสัน 140 ไร่ และแปลงศรีราชา 30 ไร่ และยังมีพื้นที่แปลงอื่นๆ ในย่านธุรกิจสำคัญและได้สิทธิ์พัฒนาพื้นที่รอบสถานีทั้ง 9 แห่ง และได้สิทธิ์พัฒนาพื้นที่ 8 สถานีที่เป็นสถานีจอดรถเดิมของแอร์พอร์ตลิ้งค์ คือ พญาไท ราชปรารภ มักกะสัน คลองตัน หัวหมาก บ้านทับช้าง ลาดกระบัง และสุวรรณภูมิ รวมทั้งได้สิทธิ์บริหารการเดินรถไฟตั้งแต่สถานีดอนเมืองถึงสถานีอู่ตะเภา แถมได้สิทธิ์บริหารแอร์พอร์ตลิ้งค์ด้วย
ข้อสี่ ได้รับสิทธิ์ทางภาษีอีกหลายรายการ
ข้อห้า ได้รับผลประโยชน์จากการใช้ที่ดินสองข้างทางรถไฟ 226 กิโลเมตร
จึงขอให้รัฐบาลทบทวนเพราะเป็นการให้สิทธิ์และประโยชน์มากมาย ควรที่จะให้การรถไฟฯเจ้าของโครงการดำเนินโครงการนี้เอง
ถ้าข้อความตามหนังสือดังกล่าวเป็นความจริง ก็ต้องถือว่าเรื่องนี้เป็นโครงการยกทรัพย์สมบัติและผลประโยชน์ของชาติให้กับเอกชนครั้งใหญ่ที่สุดและมีมูลค่ามากที่สุดนับตั้งแต่มีประเทศไทยเป็นต้นมา โดยที่ไม่ปรากฏว่าประเทศไทยและคนไทยได้รับผลประโยชน์อะไรจากโครงการนี้
และที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ ไม่ปรากฏว่าเอกชนจะต้องลงทุนเป็นเงินจำนวนเท่าใด คิดเป็นร้อยละเท่าใดของทรัพย์สมบัติและผลประโยชน์แห่งชาติ ที่ตั้งให้กับโครงการนี้
มิน่าล่ะ ถึงต้องแก้ตัวกันพัลวันว่าไม่ได้ขายชาติ
หนังสือดังกล่าวจะถึงนายกรัฐมนตรีหรือไม่ และจะได้ผลประการใดก็ไม่มีใครรู้ แต่ทว่าเนื้อความตามหนังสือนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และถ้าหากเป็นความจริงก็จำเป็นที่จะต้องพิจารณาทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจังก่อนที่จะสายเกินการณ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี