สวัสดีปีใหม่ไทยครับผู้อ่านทุกท่าน เราทั้งสองคนขอเริ่มต้นปีใหม่ไทยนี้ด้วยการนำเสนอเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันในแง่มุมใหม่ๆ โดยจะขอพาท่านผู้อ่านก้าวข้ามการผูกมัดคอร์รัปชันกับการเมือง ก้าวข้ามข้อเสนอที่เน้นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว และหันมามองไปข้างหน้า เพื่อนำเสนอภาพอนาคตของสังคมไทยในเรื่องสำนึกต่อสังคม เพื่อให้คนไทยได้เข้าใจว่าคอร์รัปชันเป็นปรากฏการณ์ที่มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก และเกี่ยวข้องกับหลากหลายวงการ ไม่ใช่เพียงแต่การเมืองเท่านั้นอย่างที่หลายคนเข้าใจ
อันที่จริง เราเคยได้นำเสนอเรื่องราวการต่อต้านคอร์รัปชันในแง่มุมนี้ไปแล้วบ้าง เช่น ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้แนะนำงานวิจัยมโนอุปลักษณ์ในวาทกรรมข่าวคอร์รัปชันในหนังสือพิมพ์ไทยและอินโดนีเซีย โดย ดร.นฤดล จันทร์จารุ และต่อภัสสร์ ที่มีจุดประสงค์เพื่อเสนอแนวทางในการศึกษาการคอร์รัปชันในฐานะปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม และเพื่อเสนอแนวทางเบื้องต้นในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันด้วยการสร้างจิตสำนึกทางสังคมซึ่งผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่า กลุ่มอุปลักษณ์ที่หนังสือพิมพ์ในทั้งสองประเทศใช้เปรียบเทียบกับคอร์รัปชันนั้น มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยสื่ออินโดนีเซียให้ความสำคัญกับระบบและการมีส่วนร่วมของประชาชนมาก ในขณะที่สื่อไทยเน้นการพุ่งเป้าไปที่กรณีและตัวบุคคลนำไปสู่ดราม่าในสังคม ซึ่งปัจจัยนี้อาจสามารถอธิบายสถานการณ์ที่อัตราการคอร์รัปชันในอินโนนีเซียลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ไทยแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ในสัปดาห์นี้ผมจึงอยากขอนำเสนองานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งของ ศูนย์ SIAM Lab (Social Integrity Architecture and Mechanism design Lab)ของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)ที่ต้องการจะหาคำตอบว่าอะไรคือแรงจูงใจให้คนไทยลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับการคอร์รัปชันได้ ในหัวข้อ ใจบันดาลแรงสู่แรงบันดาลใจ เพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน โดย ต่อภัสสร์ ยมนาค ทักษอร ภุชงค์ประเวศ อดิศักดิ์ สายประเสริฐ และ เบ็ญจลักษณ์ เด่นดวง
งานวิจัยนี้เริ่มจากข้อมูลที่ค้นพบว่าที่ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในประเทศไทยมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับการปลูกฝังจิตสำนึก คุณธรรม ศีลธรรม เพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่มีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางจำนวนอย่างน้อยถึง 15 โครงการ บางโครงการก็มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องหลายปี บางโครงการก็สิ้นสุดในระยะสั้น มีรูปแบบการดำเนินงานโครงการที่หลากหลาย ทั้งการปลูกฝังทางตรงผ่านการเข้าค่ายสัมมนา และการปลูกฝังทางอ้อม ผ่านนวัตกรรมตัวกลาง เช่น บทเรียนออนไลน์ เกมบนโทรศัพท์ หรือบอร์ดเกม โดยเน้นการใช้แนวความคิดเรื่อง “ศีลธรรม” “คุณธรรม” และ “ความดี” เป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินงานโครงการ ที่สำคัญคือเมื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม สามารถประมาณการได้ว่ามีผู้ผ่านการเข้าร่วมโครงการต่างๆ เหล่านี้กว่า 3 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ใหญ่ 2.6 แสนคน และเยาวชน 2.9 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะมากอย่างน่าตกใจ
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงตัวเลขประมาณการซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อนจากการนับซ้ำ หรือการรายงานตัวเลขเกินความจริงของบางโครงการได้ แต่ถึงจะทอนตัวเลขนี้ลงครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าที่ผู้นำการต่อต้านคอร์รัปชันอย่าง องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT คาดหวังให้มาร่วมเป็น พลเมืองตื่นรู้สู้โกง หรือ Active Citizen กัน นั่นหมายความว่า ถ้าโครงการปลูกฝังจิตสำนึกเหล่านี้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลจริง โครงการต่อต้านคอร์รัปชันอื่นๆ ที่ต้องการการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก ก็ไม่ควรจะพบเจออุปสรรคจากการขาดการสนับสนุนเท่าที่ควร ซึ่งนี่กลับไม่ใช่สถานการณ์จริงในประเทศไทย ข้อมูลจากงานวิจัยเครือข่ายองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทย โดย ต่อภัสสร์ ยมนาค ศุภฤกษ์ รักชาติ วิภาวดี เอมสูงเนิน และ เบ็ญจลักษณ์ เด่นดวง พบว่าอุปสรรคหนึ่งที่หน่วยงานและโครงการด้านการต่อต้านคอร์รัปชันต่างๆ ในประเทศไทย พบเจอคล้ายๆ กัน คือการขาดการสนับสนุนและการมีส่วนร่วมจากประชาชนมากเพียงพอ
ความไม่สอดคล้องกันระหว่างตัวเลขผู้ผ่านการอบรมที่มาก กับการมีส่วนร่วมที่น้อยนี้ จึงนำมาซึ่งคำถามต่อประสิทธิผลของโครงการปลูกฝังจิตสำนึกต่อการต่อต้านคอร์รัปชัน และเป็นที่มาของรายงานวิจัยชิ้นนี้ที่มุ่งศึกษาว่าปัจจัยใดบ้างที่ส่งผล กระตุ้น หรือหล่อหลอมให้คนพร้อมมีส่วนร่วมในการทำงานเพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน โดยใช้กรอบทฤษฎี Habitus ของ ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) ที่อธิบายปัจจัยที่ส่งผล กระตุ้น หรือหล่อหลอมให้คนนั้นตัดสินใจกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น มาจากทั้งโครงสร้างทางสังคมและเจตจำนงของตัวบุคคลนั้นเอง ดังนั้นจะต้องวิเคราะห์โครงสร้างของแต่ละสังคมว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ลักษณะดังกล่าวมีอิทธิพลต่อปัจเจกในการต่อสู้เรื่องคอร์รัปชันอย่างไร และตัวบุคคลเองมีบาดแผลหรือประสบการณ์จากลักษณะโครงสร้างทางสังคมตั้งแต่วัยเยาว์มาจนถึงปัจจุบันอย่างไร
ภายใต้กรอบทฤษฎีนี้ ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์บุคคลที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการต่อต้านคอร์รัปชันมาเป็นเวลานาน มีความรู้ความเชี่ยวชาญเชิงประเด็นนี้อย่างลึกซึ้ง และมีประสบการณ์อย่างมากมายในรูปแบบต่างๆ เกี่ยวกับการคอร์รัปชันและการต่อต้านคอร์รัปชัน 17 ท่าน แล้วนำข้อมูลมาสรุปว่าอะไรมาบันดาลใจให้เกิดเป็นแรงที่เข้ามาทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งยิ่งในอดีตเป็นประเด็นที่ไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจและพยายามหลีกเลี่ยงเสียด้วยซ้ำ และจากการลงแรงไปนั้น ผลลัพธ์ใดที่กลับมาบันดาลใจให้พวกเขาสามารถฝ่าฟันอุปสรรคและความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินมาสู้ต่อได้ นี่จึงเป็นที่มาของชื่องานวิจัยนี้ว่า ใจบันดาลแรงสู่แรงบันดาลใจ
จากการสัมภาษณ์พบข้อมูลที่น่าสนใจมากว่า แรงบันดาลใจเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชันที่กลุ่มบุคคลผู้ซึ่งทุ่มเทกายใจเพื่อการต่อสู้กับการคอร์รัปชันนั้น มีความครอบคลุมกว้างขวางในเชิงประเด็น และหลากหลายในที่มา โดยจากข้อมูลสัมภาษณ์ในงานวิจัยนี้มีอยู่ 8 ประเด็น ได้แก่ หนึ่ง ผลจากการปลูกฝังในวัยเด็กและแรงกระตุ้นจากประสบการณ์ชีวิต สอง ความสงสัยใคร่รู้และความสนุกในการค้นหาคำตอบส่วนตัว สาม องค์ความรู้หรือแรงกระตุ้นจากการศึกษา สี่ ความรู้และประสบการณ์จากการทำงาน ห้า การตอบรับในเชิงบวกและกำลังใจจากผู้อื่น หก การสนับสนุนและความหวังจากคนรุ่นใหม่ เจ็ด การรับรู้สถานการณ์ความรุนแรงของคอร์รัปชันที่ยังคงอยู่ในประเทศไทย และแปด บุคคลตัวอย่างของความมีคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ความพอเพียง และความมุ่งมั่นที่จะสร้างสิ่งดีๆ ให้แก่สังคม จึงเห็นได้ว่า การปลูกฝังจิตสำนึก ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของโครงการต่อต้านคอร์รัปชันหลายโครงการนั้น เป็นเพียงแค่ประเด็นหนึ่งในแรงบันดาลใจเหล่านี้เท่านั้น
ข้อสรุปเพื่อนำไปใช้ประโยชน์จริงจากงานวิจัยชิ้นนี้ก็คือ การปลูกฝังจิตสำนึกด้วยการอบรม สัมมนา หรือก็คือองค์ความรู้หรือแรงกระตุ้นจากการศึกษานั้นอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ และพฤติกรรมของคนบางกลุ่มได้จริง แต่วิธีการนี้เป็นเพียงหนึ่งปัจจัยเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก 7 ปัจจัย หรือมากกว่านั้น ซึ่งสามารถนำไปออกแบบเป็นกระบวนการสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยเข้ามาร่วมเป็นพลเมืองตื่นรู้สู้โกงได้อีกมากมาย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถเลือกรับแรงบันดาลใจที่ตนรับรู้ได้เหมาะสมที่สุดมาบันดาลให้เกิดเป็นแรงในการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทยต่อไป
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี