มีข้อเขียนที่ส่งต่อทางสื่อสังคมออนไลน์ ว่าด้วยเรื่อง “ธนาคารเวลา”
เล่าถึงเหตุการณ์ในสวิตเซอร์แลนด์ ว่า หญิงวัย 67 ปี เคยเป็นครูสอนมัธยมก่อนเกษียณ ปัจจุบันได้รับบำนาญจากรัฐบาล แต่ยังคงทำงานด้วยการไปดูแลผู้สูงวัยอีกคนที่มีอายุ 87 ปี เธอบอกว่า “ฉันไม่ได้ทำงานเพราะต้องการเงิน แต่ทำเพื่อสะสมเวลาไว้ใน “ธนาคารเวลา” เผื่อไว้ตอนที่ฉันเดินเหินไม่ไหวหรือช่วยเหลือตนเองไม่ได้แล้ว ฉันจะได้ไปเบิกมาใช้”
ข้อเขียนอธิบายว่า “... “ธนาคารเวลา” เป็นการบริหารโดยหน่วยงานของรัฐที่คอยดูแลผู้สูงวัย ผู้คนทั่วไปสามารถสะสมเวลาด้วยการให้บริการแก่ผู้สูงวัยทั้งหลาย เวลาที่ไปให้บริการจะถูกบันทึกและสะสมไว้
รอจนกระทั่งเมื่อเราแก่ตัวหรือเจ็บป่วย ยามเมื่อเราต้องการการดูแลจากผู้อื่น ก็สามารถเบิกเวลาเหล่านั้นออกมาใช้ได้ ผู้สมัครเป็นสมาชิกต้องมีร่างกายแข็งแรง สามารถสื่อสารกับคนอื่น มีจิตใจรักการบริการ มีเวลาเพียงพอที่จะให้บริการแก่ผู้สูงวัยทั้งหลาย เวลาของการให้บริการก็จะสามารถสะสมอยู่ในบัญชีส่วนตัวของตนใน “ธนาคารเวลา”
ผู้สูงวัยที่เจ้าของบ้านเราไปดูแลนั้น เธอต้องไปหาเขาอาทิตย์ละสองครั้ง ครั้งละสองชั่วโมง เธอไปทำหน้าที่ช่วยซื้อข้าวซื้อของบ้าง ทำความสะอาดบ้าน พาเขาออกไปเจอแดดเจอลม หรือนั่งสนทนาเป็นเพื่อน ตามกติกาของธนาคาร หลังจากเธอให้บริการครบหนึ่งปีแล้ว เวลาที่เธอให้บริการทั้งหมดจะถูกรวบยอดออกมาเป็นตัวเลข และเธอก็จะได้รับการ์ดสะสมจากธนาคารมาเก็บไว้เป็นหลักฐาน
เผื่อวันใดวันหนึ่งที่เธอต้องการใช้บริการจากคนอื่น เธอก็สามารถนำการ์ดไปติดต่อธนาคาร เพื่อเบิก “เวลาและดอกเบี้ยของเวลา” ออกมาใช้ เมื่อการ์ดของเธอได้รับการยืนยันเรียบร้อยแล้ว ธนาคารก็จะส่งจิตอาสาคนอื่นมาดูแลเธอ ไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่โรงพยาบาลตามที่เธอต้องการ…
เวลานี้ “ธนาคารเวลา”กลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในสวิตเซอร์แลนด์ นี่ไม่ใช่เป็นการช่วยประหยัดงบประมาณแผ่นดินในการดูแลผู้สูงวัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยแก้ปัญหาสังคมได้อีกด้วย จากการสำรวจพบว่า กว่าครึ่งของหนุ่มสาวแสดงเจตจำนงที่ขอเข้าร่วมโครงการนี้ รัฐบาลถึงกับต้องตรากฎหมายอย่างเป็นกิจจะลักษณะเพื่อรับรองและคุ้มครองโครงการนี้อย่างเป็นทางการ
ประเทศไทยเรากำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปัญหาการดูแลผู้สูงวัย
จะกลายเป็นปัญหาสังคมอย่างแน่นอน วิธีการก่อตั้ง “ธนาคารเวลา” แบบสวิตเซอร์แลนด์อาจเป็นแบบอย่างที่น่าศึกษา หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะจุดประกายเรียกร้องความสนใจจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของชาวไทย ให้ลองหันมาศึกษาโครงการนี้อย่างจริงจัง ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งในอนาคต เราอาจได้เห็น “ธนาคารเวลา” ถูกก่อตั้งขึ้นในประเทศไทย… “ – (“ขจรศักดิ์” แปลและเรียบเรียง)
บทความข้างต้น ได้เปิดแง่คิดมุมมองที่น่าสนใจ เพราะถ้าเป็นจริงและได้ผลดังที่ระบุ จะตอบโจทย์ปัญหาจริงหลายๆ ประการ ด้วยเหตุนี้จึงมีการส่งต่อบทความนี้เยอะมากในสื่อสังคมออนไลน์
โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัย ที่มีสัดส่วนของผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ และจะมากถึง 30% ในอีกเพียง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่า สัดส่วนคนวัยแรงงานก็จะน้อยลงเรื่อยๆ เด็กก็เกิดน้อยลง คนพร้อมกลับไม่ยอมตั้งท้อง แต่คนที่ท้องกลับเป็นคนที่ไม่พร้อม ลูกที่ออกมาซึ่งอนาคตจะเป็นคนวัยทำงานจะมีคุณภาพอย่างไร ใครจะจ่ายภาษีอากรเพื่อเป็นสวัสดิการให้คนสูงอายุ
บทความนี้จึงตรงใจ ตรงปัญหาและความรู้สึกของคนไทย แม้แต่ผู้บริหารประเทศก็สนใจและตั้งคำถามว่าประเทศไทยจะทำบ้างได้ไหม
ผมมีข้อวิเคราะห์และความเห็น ดังนี้
1. “ธนาคารเวลา” ที่ทำในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตามข้อเขียนนั้น ถ้าสามารถทำได้ในประเทศไทย ก็คงจะช่วยลดภาระและปัญหาของสังคมสูงวัยได้บ้าง แต่ลักษณะโครงสร้างสังคมและคนไทยจะแตกต่างจากคนสวิสมากน้อยแค่ไหน
2. คนสวิสคงไม่ต่างจากสังคมสูงวัยในยุโรป ที่นิยมครอบครัวเดี่ยว เมื่อลูกโตก็จะแยกครอบครัวออกไป ให้พ่อแม่อยู่ตามลำพัง
เมื่อแก่ชรามากขึ้น คนหนึ่งก็ต้องตายจากไป คนที่อายุยืนก็จะเป็นม่าย อยู่คนเดียวตามลำพัง
ระบบธนาคารเวลาจึงช่วยแก้ปัญหา เช่น มีคนช่วยซื้ออาหารให้ ทำความสะอาดบ้านให้ พาผู้สูงอายุออกไปนั่งนอกบ้านบ้าง เป็นต้น
3. คนสวิสเป็นคนมีการศึกษาดี มีสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจใกล้เคียง ไม่แตกต่างกันมากนัก ความไว้เนื้อเชื่อใจ การร่วมช่วยงานกับคนที่มีสถานะไม่ต่างกันมาก จึงน่าจะง่ายกว่า และมีปัญหาน้อยกว่าสังคมที่มีความแตกต่างในสถานภาพทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ
4. สังคมไทยมีความแตกต่างสูงมาก ทั้งสถานะทางเศรษฐกิจ สังคม ความรู้สึกนึกคิด ค่านิยมก็ต่างกัน วัฒนธรรมกินอยู่หลับนอนก็ค่อนข้างแตกต่าง
การมีจิตอาสาของคนไทยไม่ใช่ปัญหา เพราะคนไทยมีจิตอาสาไม่แพ้ใคร แต่ที่จะให้ส่วนกลางจดรวบรวมเครดิตที่ได้เคยทำสะสมไว้ เพื่อให้ทางการส่งใครก็ไม่รู้มาดูแลเราในยามที่เราต้องการในอนาคต จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะยอมรับ เพราะเกรงจะได้คนที่มีสภาพแตกต่างกันมาก ความเข้าใจ วิถีชีวิตต่าง การดูแลต่างกันมาก
5. เมื่อเปรียบเทียบดีกรีของความเป็น “ศรีธนญชัย” คนสวิสน่าจะมีดีกรีน้อยกว่า ต่ำกว่าคนไทย
คนไทยจึงอาจจะมีปัญหาที่จะไว้เนื้อเชื่อใจใครที่ไม่รู้จักเข้ามาช่วยงานในบ้านที่เราอยู่ลำพัง จะถูกขโมย ถูกลักทรัพย์ หรือแม้กระทั่งถูกปล้น หรือถูกสืบเสาะให้คนมาขโมยของภายหลัง
6. ถ้าดำเนินการ จะมีคนไทยขี้โกง ที่สร้างหลักฐานสถิติเท็จ ว่าได้ไปช่วยเพื่อนบ้านหรือคนอื่นเพื่อสะสมเครดิต และในอนาคตก็หวังจะได้ความช่วยเหลือฟรีๆ ต้นทุนการตรวจสอบป้องกันติดตามประเมินคงสูงพอสมควร
7. “ธนาคารเวลา” ถ้าจะดำเนินการในไทยจึงยากมากที่จะรวมศูนย์ดำเนินการจากส่วนกลาง แต่หากกระจายการบริหารจัดการให้แต่ละท้องถิ่นดำเนินการ ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความรู้จักมักคุ้นของคนในแต่ละหมู่บ้าน หรือตำบล หรือแม้แต่อำเภอ ก็จะดีกว่าการรวมศูนย์ เพราะไม่รู้ ไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจคนที่จะเข้ามาช่วยในยามจำเป็นในอนาคต
8. จุดเด่นของสังคมไทย คือ การเป็นครอบครัวขยาย ที่ลูก หลาน จะอยู่กับพ่อแม่ ช่วยดูแลซึ่งกันและกัน
มองในมุมของธนาคารเวลา ก็คือ พ่อแม่เลี้ยงดูเราตั้งแต่เกิด จนพ่อแม่แก่เฒ่า ก็ถูกจดบันทึกเครดิตไว้ด้วยความสำนึกใน
“บุญคุณ” และเมื่อถึงเวลา ลูกหลานก็ยินดีพร้อมที่จะตอบแทนด้วยความรัก เอื้ออาทร
สังคมไทย รัฐบาลไทย ผู้บริหารประเทศ จึงควรใส่ใจ เอื้อให้ครอบครัวไทยได้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวขยายที่เหนียวแน่น มีประสิทธิภาพ
9. การสร้างงาน สร้างโอกาส ให้คนชนบทได้ทำงานใกล้บ้าน ใกล้ชุมชนท้องถิ่นของตัวเอง ใกล้ครอบครัว จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะคนวัยทำงานสามารถทำงาน ดูแลลูกและพ่อแม่ได้ใกล้ชิด
ไม่ใช่รัฐบาลมุ่งจะสร้างงานในแดนไกล ซึ่งคนทำงานต้องย้ายตัวเองไปทำงานต่างถิ่นห่างไกล ปล่อยให้ลูกอยู่กับตายาย นโยบายการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ลงทุนมากระจุกตัวอยู่ในเขตบางพื้นที่ เช่น EEC เขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา แล้วหวังจะให้คนทำงาน แรงงาน ต้องเดินทางมาทำงานไกลบ้าน
10. สังคมไทย ประเทศไทย กำลังจะต้องเจอข้าศึกใหม่ สงครามใหม่ คือ “สังคมสูงวัย” ที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ ในเวลาอันใกล้
นโยบายเศรษฐกิจจะต้องสอดคล้องเอื้อกับสังคม การกระจายการจ้างงาน กระจายธุรกิจ อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม รวมถึงกระจายการประกอบการให้เป็นรายเล็ก แต่กระจายทั่วพื้นที่ จะดีกว่าการให้สิทธิพิเศษ ผูกขาด กระจุกตัวของการทำงานในบางพื้นที่หรือไม่
อยากฟังว่า พรรคการเมืองต่างๆ ที่จะอาสานำพาบริหารประเทศ จะมีท่าทีจุดยืนอย่างไรในเรื่องนี้
ประชาชนจะได้เลือกพรรคได้ถูกต้อง
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี