สังคมไทยและประเทศไทยอาจโชคดีที่มีระบบกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีที่เข้มแข็ง ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและความรอบรู้ ตลอดจนมีสายพระเนตรอันยาวไกล โดยเฉพาะล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงเห็นการณ์ไกล ได้ทุ่มเทพระวรกายเพื่อปฏิรูประบบข้าราชการ ระบบกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา ตั้งแต่ พ.ศ. 2417 จนกระทั่ง พ.ศ. 2453 เชื่อแน่ว่าเราคงสูญเสียเอกราชให้แก่ประเทศมหาอำนาจ (อังกฤษ และฝรั่งเศส) เฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้านของเราในเอเชียอาคเนย์
ขณะเดียวกัน เนื่องจากสังคมไทยไม่เคยอยู่ใต้การปกครองของฝรั่ง เช่นเพื่อนบ้านของเรา (เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ) ชาวไทยจึงขาดประสบการณ์ของการต่อสู้ทางการเมือง ไม่รู้จักการสานประโยชน์เพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง มีความเป็นปัจเจกชนค่อนข้างสูง (ดูจำนวนพรรคการเมืองที่จัดตั้ง) และเมื่อขัดแย้งกันทางการเมือง ก็ไม่สามารถจะประนีประนอมกันได้ จะทำผิดกฎหมาย หรือผิดสปิริตของรัฐธรรมนูญ ก็ยังทำกันได้ ขอแต่ให้ได้ชัยชนะ ดังสุภาษิตที่ว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล
“วัฒนธรรมการเมือง” ดังกล่าว เป็นวัฒนธรรมที่อาจเรียกว่า “Zero-sum Game” - เกมส์การเมืองที่ไม่มีการประนีประนอม ที่ผู้เล่นแต่ละคน ต้องการ “กินรวบ”
แต่การเมืองในคติของประชาธิปไตย เป็นการเมืองของผู้มี “ศีล” เสมอกัน (เคารพกติกาเดียวกัน - กติกาของสุภาพบุรุษ) เป็นเกมส์การเมืองที่ผู้เล่น เมื่อออกจากห้องประชุมแล้ว ก็ยังมีความเป็นมิตร และพร้อมที่จะสละเก้าอี้แห่งอำนาจให้แก่ผู้อื่นเยี่ยงสุภาพบุรุษ
ในระบบการศึกษาของเรา ไม่ได้มีนโยบายหรือมาตรการที่ชัดแจ้ง บ่งบอกให้สถานศึกษาฝึกอบรมเยาวชนของเราในเรื่อง “วัฒนธรรมประชาธิปไตย” นโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ก็คือ ชูประเด็น “เก่ง ดี มีสุข” คำว่า “ดี” นั้น ครอบจักรวาลทั้งหมด เราขาดจุดเน้นในการฝึกอบรมคุณธรรมทางการเมืองโดยตรง ฉะนั้น วิกฤติทางการเมืองตลอดเวลา 85 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่ง (หรือส่วนใหญ่) จึงเกิดจากข้อบกพร่องดังกล่าว
ประการที่สอง นอกจากการสร้างอุปนิสัยของเยาวชนแล้ว ที่สำคัญควบคู่กัน คือ การให้การศึกษาที่ถูกต้องเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย ส่วนนี้แม้จะดูง่ายที่จะกระทำ แต่ก็จะต้องมีการวางแผน และกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อบรรลุเป้าหมาย เริ่มตั้งแต่คณะสังคมศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ควรจะต้องจัดหลักสูตรทางการเมืองที่ครอบคลุมสาขาวิชาปรัชญาการเมือง การเมืองเปรียบเทียบ หลักรัฐธรรมนูญและนิติธรรมรัฐ พฤติกรรมศาสตร์ โดยเน้นทางการเมืองและสภาวะผู้นำ และระบบการปกครองที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทย
วิชาเหล่านี้ ควรจะเป็นแกนกลางของคณะวิชาทางสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะทางรัฐศาสตร์และคุรุศาสตร์
สำหรับคุรุศาสตร์ จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปเชิงคุณภาพของการฝึกหัดครู เพื่อให้ครูส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสาขาสังคมศึกษา ได้เป็นบุคลากรหลักในการสร้างความเป็นพลเมืองในระดับมัธยมศึกษาและประถมศึกษา เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าการจัดการศึกษาวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม ให้เป็นวิชาที่มีพลวัต เป็น “Active Learning” ในระดับนี้ โดยสร้างครูมัธยมศึกษาให้เป็นผู้รู้และเข้าใจระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย (แบบไทยที่ดี) ในเบื้องต้น
ประการที่สาม ควรจะวางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างพื้นฐานทางจริยธรรมที่แข็งแกร่งให้เยาวชนไทยส่วนใหญ่ โดยจัดการศึกษาพิเศษในวันอาทิตย์ แนวคิดนี้เกิดจากการได้อ่านพบในรายงานการสังเคราะห์งานวิจัยคุณลักษณะและกระบวนการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมของเยาวชนของประเทศต่างๆ 10 ประเทศ ซึ่งจัดทำโดยศูนย์คุณธรรม เป็นรายงานที่ให้รายละเอียดที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะศรีลังกา ได้จัดการสอนศาสนาพุทธในวันอาทิตย์ โดยคิดผลการเรียนเป็นหน่วยกิต ที่นับรวมเข้ากับผลสอบเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา
กระบวนการโดยย่อ ก็คือ จัดตั้งคณะทำงาน (ระดับนโยบาย) เพื่อพิจารณาหลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน การฝึกวิทยากรโดยเฉพาะ และประสานงานกับฝ่ายสงฆ์ เพื่อกำหนดศูนย์การเรียนในวัดต่างๆ ที่ยินดีจะร่วมในภารกิจนี้
ข้อเสนอนี้ เป็นการต่อยอดการดำเนินงานของฝ่ายสงฆ์ ที่ได้จัดการเรียนการสอนหลักสูตรพระธรรมบาลีตามปกติอยู่แล้ว และกระทรวงศึกษาธิการควรจะให้ความสนใจในหลักสูตรเหล่านี้ เพื่อปรับให้เข้ากับวัตถุประสงค์ในการสร้างความเป็นพลเมืองดี ตามคติของอุดมการณ์ “ธรรมาธิปไตย” ซึ่งพระพรหมคุณาภรณ์ ได้กรุณาชี้แนะมาแล้วในงานเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระคุณเจ้า โดยให้คำนิยาม “ธรรมาธิปไตย” ว่า “เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจที่ใช้ปัญญาโดยมีเจตนาที่เป็นธรรม” (ดู ศาสตร์การสอนความเป็นนักประชาธิปไตย, วิชัย ตันศิริ, หน้า 40) การนำ “ธรรมะ” มาสู่การเมือง ก็คือ การปรับระบอบประชาธิปไตยให้สร้างสรรค์ และเป็นคุณูปการต่อมวลมนุษยชาติมากยิ่งขึ้น สมควรที่องค์การระหว่างประเทศ เช่น ยูเนสโก จะได้ให้การสนับสนุนส่งเสริมให้ทุกประเทศได้นำไปปฏิบัติในระบบการเมือง-การปกครองของตนเอง
สำหรับสังคมไทยจะทำได้สำเร็จหรือไม่น่าจะขึ้นอยู่กับอีก 2 ปัจจัย (หรือ 2 พลัง) ทางสังคม ได้แก่ การสร้างผู้นำ (โดยเฉพาะในวงราชการ การเมือง และธุรกิจเอกชน)
ประการที่สี่ การสร้างผู้นำในวงราชการ ฯลฯ
เป้าหมายหลักควรจะเป็นการสร้างผู้นำในวงราชการเป็นอันดับแรก ส่วนผู้นำทางการเมืองและภาคเอกชนน่าจะเป็นผลพลอยได้ ซึ่งคงจะต้องเกิดขึ้นดังจะอธิบาย
ประการแรก จะต้องปรับระบบข้าราชการพลเรือน และเกณฑ์การรับเข้าทำงานโดยวิธีการที่แตกต่างออกไปจากดั้งเดิม ข้าราชการประเภทใหม่ หรือ “class A” ที่จะกำหนดขึ้น คือ ส่วนสำคัญของโครงการนวัตกรรมที่มีวัตถุประสงค์ให้เป็นกลุ่มพิเศษ โดยกำหนดคุณสมบัติระดับปริญญาตรีและโท สาขารัฐศาสตร์ การบริหารศาสตร์ ที่จัดหลักสูตรกว้าง ประกอบด้วย วิชาปรัชญาการเมือง การเมืองเปรียบเทียบ วิวัฒนาการของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย ประวัติศาสตร์การเมืองของยุโรป (บางประเทศ) ประวัติศาสตร์ไทย และระบบการปกครองไทย กฎหมายมหาชน วัฒนธรรมและคุณธรรมทางการเมือง เศรษฐศาสตร์ระดับมหภาคและจุลภาค วิชาการเงิน และเทคโนโลยีการสื่อสาร
วัตถุประสงค์ เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ทั้งระดับกว้างและลึกในบางเรื่อง
นอกจากนั้น คณะวิชาที่เปิดสอนควรคัดเลือกนักเรียนที่จบมัธยมปลาย เกรด “A” หรืออย่างน้อย “B+” โดยเฉพาะควรให้คะแนนพิเศษสำหรับผู้ที่ได้เรียนพุทธศาสนาตามโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ
ควรมีโครงการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ดีเด่น ประพฤติดีและมีฐานะทางเศรษฐกิจอัตคัด โดยมีพันธสัญญาที่จะเข้ารับราชการ
โครงการดังเสนอ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างผู้นำรุ่นใหม่ในวงราชการ ซึ่งสังคมควรจะเห็นตรงกันว่าน่าจะเป็นแกนหลักแกนหนึ่งในการสร้างผู้นำในสังคมและการเมือง ตลอดจนวงการธุรกิจ ฉะนั้นควรส่งเสริมให้ผู้นำรุ่นใหม่ในราชการได้มีโอกาสเกษียณอายุราชการเมื่ออายุเข้าสู่เลข 5 เพื่อไปต่อเนื่องในวงการธุรกิจและการเมือง วิถีทางดังกล่าวฝรั่งเศสได้ยึดถือเป็นแบบอย่าง รวมทั้งมาเลเซียเพื่อนบ้านของเรา
การเมืองไม่ควรเป็นภารกิจของมือสมัครเล่น ต้องการผู้มีประสบการณ์ทางด้านการบริหาร/ธุรกิจ มีวุฒิภาวะสูง การเมืองไม่ใช่เรื่องเล่นที่ใครคิดอยากจะออกมาเดินนำขบวนก็ออกมา ประสบการณ์ความรู้ประวัติศาสตร์การเมืองปรัชญาการเมือง ตลอดจนหลักธรรมของศาสนา ควรเป็นองค์ประกอบหลักของการสร้างนักการเมืองในสังคมยุคใหม่
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี