ไม่ว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนต่างๆ จะก่อการด้วยข้ออ้างใดๆ จะเพราะถูกกดขี่ ไม่ได้รับความยุติธรรม ไม่ได้รับการปฏิบัติที่ทัดเทียม ไม่ชอบระบบการปกครองที่เป็นอยู่ หรือไม่ต้องการอยู่ในอาณัติของผู้ใด ก็มักจะมีกระบวนการปฏิบัติที่เหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือ การจับอาวุธเข้าต่อสู้ ซึ่งผลก็คือ ประเทศชาตินั้นๆ ต้องตกอยู่ในสภาพการใช้กำลังเป็นเครื่องตัดสิน ดินแดนดังกล่าวมักตกอยู่ในสภาวะกึ่งสงครามกลางเมือง และเมื่อเหตุการณ์ลุกลามใหญ่โตก็จะกลายเป็นสงครามกลางเมือง นำมาซึ่งความสูญเสียนานัปการ ในขณะที่ผลสุดท้าย ประเทศนั้นแยกจากกันไม่ได้ ก็เลยทิ้งความค้างคาใจ ให้ต้องเผชิญหน้ากันอยู่ไปเรื่อยๆ ซึ่งทางออกในที่สุด ก็มักจะหนีไม่พ้นการเข้าสู่โต๊ะการเจรจา และหาทางอยู่ร่วมกันโดยสันติ ในกรอบสังคมที่ทุกฝ่ายมีที่ยืน โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ความกลัวการกดขี่ข่มเหงใดๆ
ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จของการวางอาวุธ และมุ่งสู่โต๊ะเจรจาก็คือ กรณีของขบวนการ IRA ในสหราชอาณาจักรเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งทำให้สันติภาพในสหราชอณาจักรอังกฤษเกิดขึ้น ส่งผลให้ทุกหมู่เหล่ามีที่ยืนในสังคมเสรีประชาธิปไตย
อีกตัวอย่างก็คือขบวนการอาเจะฮ์เสรี (GAM) มีเขตปฏิบัติการในจังหวัดอาเจะฮ์ เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยได้มุ่งทำการแบ่งแยกดินแดนเพื่อจัดตั้งสังคมอิสลามนิยม แต่หลังจากการเจรจา พวกเขาได้เปลี่ยนมาเป็นผู้ที่มีบทบาทในสังคมเสรีประชาธิปไตย ดำรงชีพโดยมีสิทธิพิเศษบางประการในเรื่องการใช้หลักศาสนาเป็นกฎเกณฑ์สังคมบ้านเมือง และได้รับสัดส่วนรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติที่สูงกว่าจังหวัดอื่นๆ
และไม่นานมานี้ ที่ประเทศโคลอมเบีย ขบวนการ FARC ก็ได้ประกาศวางอาวุธและเริ่มเจรจากับฝ่ายรัฐบาลจนเป็นผลสำเร็จ เป็นการนำความปีติยินดีต่อชาวโคลอมเบีย และเพื่อนบ้านที่ทวีปอเมริกาใต้ โคลอมเบียก็เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย
ล่าสุดขบวนการ BTA ในเขตบาสก์ (Basque) ของราชอาณาจักรสเปน ก็เพิ่งประกาศวางอาวุธ และจะเข้าร่วมในวิถีชีวิตเสรีประชาธิปไตยของสเปน
อะไรกันเล่าที่ทำให้ 4 ขบวนการปลดแอกดังกล่าว วางอาวุธ และเจรจาสันติภาพ ถ้าให้แจกแจง ก็คงมีหลายสาเหตุร่วมกัน เช่น
1. การไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก แถมยังถูกตีตราว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
2. การตระหนักว่า ได้เพียรพยายามกันมานานปีแล้ว ก็ไม่สามารถรุกคืบได้ในระดับที่เป็นที่พึงพอใจ และลู่ทางจะกุมชัยชนะห่างไกล เพราะฝ่ายรัฐบาลมักจะอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบทุกประการ
3. ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง เนื่องจากต้องเดือดร้อนทั้งโดยทางตรง (ตกอยู่ท่ามกลางการสู้รบ) หรือในทางอ้อม (ประเทศสูญเสียทรัพยากร และทำให้การพัฒนาต้องชะงักงัน หรือถดถอยลงด้วย)
4. เส้นทาง หรือช่องทางที่จะต่อสู้ไม่ได้ถูกปิดตาย นั่นคือ ยังมีโอกาสที่จะแสดงตัว แสดงความคิดเห็น และแสดงความต้องการผ่านวิถีทาง ทางสังคมเสรีประชาธิปไตย
5. ความเหนื่อยล้ากับการต้องหลบซ่อน และการต้องเคลื่อนไหวและสู้รบอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งชีวิตครอบครัวก็ต้องยากลำบากไปด้วย
เมื่อฝ่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดนวางปืนลงแล้ว
คำถามต่อไปก็คือ แล้วฝ่ายรัฐบาลจะว่าอย่างไร?
คำตอบก็คือ ฝ่ายรัฐบาลจะต้องมีใจ ต้องเห็นแก่ส่วนรวม หรือนัยหนึ่งประโยชน์ของชาติบ้านเมืองต้องมาก่อน นั่นหมายถึง การเปิดโต๊ะเจรจาในการรับมอบอาวุธ การอภัยต่อกันและกัน เพื่อที่จะได้เลิกราต่อกันแล้วเริ่มต้นกันใหม่ในสังคมเสรีประชาธิปไตย โดยเปิดทางให้ทุกหมู่เหล่ามีที่ยืน มีการรับฟัง ซึ่งกันและกัน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ใน 4 ประเทศดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราหรือในประชาคมอาเซียน ก็ยังมี 3 ประเทศ ที่สังคมแตกแยก ยังไม่
ลงตัว
ในกรณีของพม่า เป็นเรื่องการหาข้อยุติการอยู่ร่วมกันของกลุ่มชาติพันธุ์พม่า (Burmans) ซึ่งเป็นกลุ่มชนใหญ่ที่สุด มีอำนาจรัฐ และกองทัพทหาร ที่ต้องตกลงกับบรรดาชนกลุ่มชาติพันธุ์น้อยๆ ทั้งหลาย ด้วยหลักที่ว่า ทุกฝ่ายต้องมีที่ยืน และไม่มีการครอบงำใดๆ
ส่วนไทยกับฟิลิปปินส์ มีปัญหาคล้ายคลึงกันคือ ปัญหาชนกลุ่มน้อยมุสลิมทางตอนใต้ของประเทศทั้งสอง
ล่าสุดฝ่ายมุสลิมฟิลิปปินส์เข้ายึดเมืองมาราวีได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำการที่กล้าเสี่ยงตาย ในทำนองเดียวกับที่ไอซิสยึดเมืองต่างๆ ในซีเรีย และทางตอนเหนือของอิรัก แต่ในที่สุดก็ถูกตีแตกยับไป ทำให้สถานการณ์กลับไปสู่การปะทะกันประปราย สลับกับการเจรจา
ของไทยจัดได้ว่า ไม่มีการปะทะกัน แต่มักจะเป็นเรื่องการลอบวางระเบิด โดยไม่มีผู้ใดอ้างตัวว่าเป็นผู้กระทำการ (เพราะบางสถานการณ์ ก็ไม่ใช่การก่อการ หากแต่เป็นเรื่องที่เกิดจากความขัดแย้งของผู้มีอิทธิพลต่างๆ รวมทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐที่สามานย์) ซึ่งหมายความว่า ฝ่ายขบวนการแบ่งแยกขาดกำลังและความเด็ดเดี่ยว เป็นแค่การคงอยู่เพื่อสร้างภาพและหาโอกาสสร้างเงื่อนไขต่อรอง โอกาสที่จะขยายพื้นที่ครอบครอง และโอกาสที่จะกุมชัยชนะนั้นดูริบหรี่ยิ่ง
คำถามจึงมีว่า แล้วจะทู่ซี้เดินหน้าต่อไปทำไม? หรือว่าผู้ก่อการจะได้รับผลประโยชน์ส่วนตัว คือดิ้นรนทำไปเพราะมันทำให้ตนเองมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ และมีหน้ามีตา โดยอย่างน้อยก็ในสายตาของต่างชาติที่เห็นดีเห็นงามด้วยความเป็นอิสลามนิยม และการเสริมสร้างเครือข่ายแนวร่วม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็แปลว่า ที่ผู้ก่อการทำมาโดยตลอดนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่วนรวมของพี่น้องชาวไทยมุสลิมอย่างที่กล่าวอ้าง
จากตัวอย่างทั่วโลก จากสภาพความเป็นจริงว่าการแบ่งแยกดินแดนนั้นกระทำไม่ได้ด้วยฝ่ายขบวนการ และไม่มีต่างชาติเล่นด้วยก็น่าจะถึงเวลาที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนจักได้ตระหนักและยอมรับความเป็นจริง ในขณะเดียวกัน สังคมไทยโดยทั่วไปก็ต้องเปิดใจ อ้าแขนรับให้เขาต่างได้กลับมาสู่สังคม และฉะนั้น ฝ่ายภาครัฐคือ รัฐบาลชุดนี้ก็ต้องประกาศให้แน่ชัด ให้มีการวางอาวุธ มีการเยียวยา และย้ำการเปิดโอกาสให้ทุกหมู่เหล่าเข้าร่วมในครรลองสังคมเสรีประชาธิปไตย
ขณะนี้ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้รัฐบาลทหารที่มีอำนาจเต็ม ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสอันดี ที่จะเริ่มดำเนินการใดๆ ที่นำภาคใต้
3 จังหวัด ไปสู่การมีสันติภาพ และมีเสถียรภาพ และปูทางไปสู่การมีส่วนร่วมในสังคมเสรีประชาธิปไตยของทุกๆ ฝ่ายกันต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี