มองลีลาของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. ออกมาตามจี้คดีสลายการชุมนุม นปช. เมื่อปี 2553
แทบไม่เชื่อว่า ว่านายณัฐวุฒิ หรือแกนนำ นปช.หน้าไหน จะกล้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเคลื่อนไหวอีก หลังจากสภายุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้วิธีข่มขืน-ลักหลับ-เข็นร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย เพื่อล้างผิดให้คนฆ่า-คนโกง-คนเผา จนกระทั่งมวลมหาประชาชนออกมาเดินขบวนต่อต้านครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
โดยที่ในสภาชุดนั้น เต็มไปด้วยแกนนำ นปช. ในฐานะ สส.
แล้วยังมีที่ไปเกาะกินเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งทางการเมืองอีกจำนวนมาก
ทั้งหมด ไม่ได้ลงมติคัดค้านในที่ประชุมสภาเลย
และไม่มีแกนนำ นปช.หน้าไปออกมาประณามรัฐสภาอัปยศคราวนั้นเลยแม้แต่คนเดียว
ทั้งๆ ที่ หากดำเนินการตามร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยนั้น ทักษิณก็เคยบอกไว้แล้วว่า คนฆ่าก็ได้หมด ทั้งคนฆ่าทหาร ฆ่าประชาชน ส่วนแกนนำ นปช. อย่างแม่น้องเกดก็จะต้องเสียสละ
ผ่านเหตุการณ์ที่เผยธาตุแท้ของคนไปแล้วนั้น จึงแทบไม่เชื่อว่า จะยังมีแกนนำม็อบที่มีจิตสำนึกความละอายคนไหนจะกล้าบากหน้าออกมา “โหน” หรือ “แห่ศพ” เอากับศพที่พวกตนเคยร่วมกระทำเช่นนั้น
1. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงอธิบายเหตุผลที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติไม่รื้อคดีสั่งสลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ขึ้นมาพิจารณาใหม่
ระบุว่า นายณัฐวุฒิ กับพวกยื่นพยานหลักฐาน 4 รายการ ได้แก่ 1.วารสารเสนาธิปัตย์ 2.คำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพในชั้นศาลอาญา กรณีผู้เสียชีวิตช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 3.แผ่นบันทึกภาพและเสียง “รุมยิงนกในกรง” และ 4.แผ่นบันทึกภาพและเสียง “ยุทธการขอคืนพื้นที่ เม.ย.2553” นั้น
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า คำวินิจฉัยเดิมได้วินิจฉัยได้อย่างถูกต้องอยู่แล้ว และพยานหลักฐานดังกล่าวไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ ตามนัยมาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 จึงมีมติไม่รื้อคดีดังกล่าวมาพิจารณาใหม่
1.1 ประเด็นว่า มีกรณีการใช้อาวุธ และกระสุนจริง และยุทธวิธีการซุ่มยิง ถูกต้องหรือไม่?
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ประเด็นนี้เคยวินิจฉัยแล้วว่า การสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัวเข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ระหว่างวันที่ 10 เม.ย.- 19 พ.ค.2553 นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำสั่งของศาลว่า เป็นช่วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง การชุมนุมของ นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลมีอาวุธปืนปะปนกับกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นเหตุให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ต้องใช้มาตรการขอคืนพื้นที่ ให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอาวุธติดตัว หากจำเป็นใช้ระงับยับยั้งได้ตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ โดยเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยศาลแพ่ง คดีหมายเลขดำ 1433/2553 ลงวันที่ 22 เม.ย. 2553 และวันที่ 14 พ.ค. 2553
อีกทั้งเจ้าหน้าที่ผู้รับคำสั่งจาก ศอฉ. ต้องปฏิบัติโดยกำหนดวิธีการ หลักเกณฑ์การปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมจนถึงหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ มีผู้ควบคุมคือผู้บังคับกองพันในปฏิบัติการจริง ส่วนการตัดสินใจในการใช้อาวุธ เป็นอำนาจสายการบังคับบัญชา ในการสั่งการของผู้บังคับกองพล หากภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่า มีการใช้อาวุธไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ เกินสมควรแก่เหตุ เกินกรณีจำเป็น เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติต้องรับผิดในการกระทำดังกล่าว ฐานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ หรือฆ่าผู้อื่น เป็นการกระทำเฉพาะตัว ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปสอบสวนต่อ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และตามมาตรา 89/2 ของ พ.ร.บ.ป.ป.ช.
1.2 ประเด็นว่า ไม่ยกเลิกการปฏิบัติในทันที เมื่อทราบการเสียชีวิตของประชาชน และอ้างในวารสารเสนาธิปัตย์ อธิบายว่า การตั้งด่านตรวจ และมีจุดสกัดปิดล้อมให้การชุมนุมเลิกเอง เป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ ไม่ใช่ตั้งด่านตามกล่าวอ้าง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า เคยวินิจฉัยกรณีนี้แล้ว โดยภายหลังเกิดเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมดังกล่าว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บแล้ว ศอฉ. ได้ทบทวนรูปแบบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้เจ้าหน้าที่ผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัด ปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ผู้ชุมนุมล่าถอย และสลายการชุมนุมไปเอง ทั้งนี้ในวันที่ 14 และ 19 พ.ค. 2553 ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ไม่มีการใช้กำลังทหารผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุม เหมือนการปฏิบัติการในวันที่ 10 เม.ย. 2553 แต่เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง
1.3 ประเด็นว่า ตามคำสั่งศาลอาญาวินิจฉัยกรณีมีผู้เสียชีวิต 19 ศพ ยืนยันว่า ผู้เสียชีวิต ตายจากกระสุนความเร็วสูง จากอาวุธสงคราม และไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีอาวุธปืน หรือยิงต่อสู้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า เคยวินิจฉัยแล้วว่า ตามคำสั่งศาลในช่วงระยะเวลาต่างๆ ได้แก่ คำสั่งศาลแพ่ง คดีหมายเลขดำที่ ร2/2553 คำสั่งศาลแพ่ง คดีหมายเลขดำที่ 1433/2553 ลงวันที่ 22 เม.ย. 2553 คำสั่งศาลแพ่ง คดีหมายเลขดำที่ 1433/2553 ลงวันที่ 14 พ.ค. 2553 คำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลอาญากรุงเทพใต้ คดีหมายเลขดำที่ ช7/2555 คดีหมายเลขแดงที่ ช1/2556 ลงวันที่ 16 ม.ค. 2556 คำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อช8/2555 คดีหมายเลขแดงที่ อช3/2556 ลงวันที่ 21 ก.พ. 2556 สรุปข้อเท็จจริงได้ว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ มีบุคคลมีอาวุธปืนปะปนอยู่ จึงมีความจำเป็นให้เจ้าหน้าที่ต้องสลายการชุมนุมเพื่อให้เกิดความสงบในบ้านเมือง โดยให้เจ้าหน้าที่มีอาวุธติดตัว หากจำเป็นสามารถระงับยับยั้งได้ตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเอง โดยเป็นไปตามหลักสากล
1.4 ประเด็นว่า กระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงมี 2 มาตรฐาน โดยมีการเปรียบเทียบกับคดีสั่งสลายการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อปี 2551
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริง พฤติการณ์ของคดีสั่งสลายชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ และการสั่งสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. มีความแตกต่างกัน คือ
เหตุการณ์สลายชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในคืนวันที่ 6 ต.ค. 2551 เวลาประมาณ 23.00 น. มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ ในท่าอากาศยานดอนเมือง ที่เป็นทำเนียบชั่วคราว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ร่วมกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) มีคำสั่งให้ พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. (ขณะนั้น) เปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุมเพื่อแถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ 7 ต.ค. 2551 ให้ได้ โดยไม่ปรากฏแนวทางปฏิบัติที่เป็นไปตามขั้นตอนหลักสากล มีการใช้แก๊สน้ำตาชนิดยิง ขว้าง ผลักดันกลุ่มพันธมิตรฯที่ปิดทางเข้ารัฐสภา 3 ครั้ง ครั้งแรกเวลา 06.00 น. มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก บางคนขาขาด นิ้วขาด น่องเป็นแผล ครั้งที่สองเวลา 16.00-17.00 น. ภายหลังนายสมชายแถลงเสร็จแล้ว ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ครั้งสุดท้ายเวลา 19.00 น. บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยใช้แก๊สน้ำตาอีกครั้ง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย นอกจากนั้น ยังมีผู้บาดเจ็บสาหัสกว่า 700 ราย
แต่การสลายชุมนุม นปช. นายอภิสิทธิ์ กับพวก มีการสั่งการโดยมีแนวทางการปฏิบัติ และเน้นย้ำการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทุกระดับตามขั้นตอน กฎ และหลักการสากลของการสลายการชุมนุม และปรากฏข้อเท็จจริงในการไต่สวนจากศาลว่า การชุมนุม นปช. มิใช่การชุมนุมสงบตามรัฐธรรมนูญ มีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนในกลุ่ม นปช. มีเหตุจำเป็นให้ ศอฉ. ต้องขอคืนพื้นที่ ให้เกิดความสงบสุข โดยเจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งต้องปฏิบัติ กำหนดวิธีการ และหลักเกณฑ์เป็นไปตามลำดับขั้นต่อไป จนถึงหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ ผู้ควบคุมคือผู้บังคับกองพัน การตัดสินใจใช้อาวุธ เป็นไปตามสายการบังคับบัญชา จากผู้บังคับกองพล ให้ทหารผู้ปฏิบัตินำอาวุธ พร้อมกระสุนจริง ติดตัวกี่กระบอก ต่อกองร้อย บางกองพล นำอาวุธปืนเปล่า แต่เก็บกระสุนไว้บนรถ หากนำอาวุธไป ผู้มีอำนาจสั่งใช้อาวุธคือ ผู้บังคับกองพันในพื้นที่ที่จะรับผิดชอบแหตุการณ์ดังกล่าว
นายวรวิทย์กล่าวว่า กรณีจึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ จึงต้องห้ามมิให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกขึ้นพิจารณาใหม่ เป็นไปตาม มาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช.
“อย่างไรก็ตาม หากปรากฏพยานหลักฐานใหม่ อันเป็นสาระสำคัญที่ทำให้ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปลี่ยนแปลงไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจหยิบยกสำนวนการไต่สวนดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ทุกเมื่อ ทั้งนี้ภายในอายุความ ไม่ใช่ว่าตัดสิทธิ์ใครที่จะมาร้องเรียนเพิ่ม ถ้าใครเห็นพยานหลักฐานในการดำเนินการ หรือตรวจสอบพบหลักฐานใหม่ สามารถส่งพยานหลักฐานให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ต้องอยู่ในอายุความของคดี”
2. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) แกนนำ นปช. ได้เข้าร่วมฟังการแถลง และได้ตั้งคำถาม ตอบโต้กับเลขธิการ ป.ป.ช.ด้วย
นายณัฐวุฒิ พยายามตั้งคำถามโดยเน้นคำว่า “ความยุติธรรม” - ความเป็นมนุษย์”
แล้วย้ำว่า ถ้าอธิบายว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2553 ไม่ผิด เหตุการณ์ปี 2551 ต้องไม่มีความผิดเช่นเดียวกัน
นายณัฐวุฒิยังอ้างว่า ก่อนหน้านี้ศาลยกฟ้องกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าชายชุดดำไปแล้วหลายราย
ลงท้าย นายณัฐวุฒิยังกล่าวด้วยว่า ผมจำเป็นต้องรักษาเกียรติยศของคนตาย แต่ผมไม่ได้รับคำตอบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใช่ความยุติธรรมหรือไม่ “แต่ผมแน่ใจว่า เราจะได้เจอกันอีกแน่”
นี่คือท่าทีและลีลาในวันนี้ของนายณัฐวุฒิ ซึ่งหลังเหตุการณ์ปี 2553 ก็ได้เข้าไปเป็นอำมาตย์ หรือเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วช่วงที่สภายุครัฐบาล “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าจะขัดขวางอย่างจริงจัง หรือลงมติคัดค้านสวนทางพรรค ก็ไม่มี
3. ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้เปิดเผยรายงานฉบับสมบูรณ์ ระบุชัดเจนถึง “ชายชุดดำ” กลุ่มคนใช้อาวุธสงครามปะปนอยู่ในหมู่ผู้ชุมนุมเสื้อแดง ระหว่างการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง ในเดือน มี.ค.-พ.ค.2553 และเป็นผู้ใช้อาวุธสงครามตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสูญเสียในเวลาต่อมา
จะเห็นว่า บรรดาแกนนำ นปช. มักจะหลับหูหลับตาปฏิเสธการมีอยู่และการปฏิบัติการของกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำ ที่ปะปนอยู่กับฝ่ายผู้ชุมนุมเสื้อแดง เมื่อปี 2553 (ซึ่งในปี 2552 ยังไม่ปรากฏปฏิบัติการของชายชุดดำ)
แกนนำอย่างหมอเหวง ถึงขนาดโบ้ยว่าเป็นการตัดต่อภาพ 555
นายณัฐวุฒิเองก็ท่วงทำนองเดียวกัน แต่ลีลาไม่เหวงเท่าแค่นั้นเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี