“โรงเรียนของเราน่าอยู่ คุณครูใจดีทุกคน เด็กๆ ก็ไม่ซุกซน พวกเราทุกคนชอบไปโรงเรียน” เป็นเพลงที่เด็กๆ ในวัยประถมศึกษาตอนต้นต่างร้องเป็นกันถ้วนหน้า เพราะเพลงที่ว่านี้เป็นเหมือนภาพสะท้อนความคาดหวังของสังคมต่อบทบาทของโรงเรียนที่เปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองของเด็กๆ โดยมุ่งหวังให้สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนมีความน่าอยู่ คุณครูดูแลนักเรียนด้วยความรัก และเด็กๆ ได้ใช้เวลาอย่างมีคุณภาพในโรงเรียน แต่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ข่าวเกี่ยวกับการทุจริตในสถาบันการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตโครงการอาหารกลางวันเด็ก การนำงบอาหารมาเป็นโบนัสให้กับครู รวมถึงการทุจริตงบประมาณอุดหนุนโรงเรียน กลายเป็นกระแสร้อนแรงที่ถูกพูดถึงอย่างมากในสื่อสังคมออนไลน์ มีผู้ปกครองจำนวนมากส่งเรื่องร้องเรียนให้หน่วยงานเข้าไปตรวจสอบโครงการอาหารกลางวันของบุตรหลานตน และจากการตรวจสอบพบว่า มีโรงเรียนหลายแห่งในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าข่ายทุจริต และอีกจำนวนไม่น้อยที่ตรวจพบว่าอาหารที่เด็กรับประทานภายใต้โครงการอาหารกลางวันไม่ได้มาตรฐานทางโภชนาการ ทำให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่เริ่มกลับมา
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เนื้อเพลง “โรงเรียนของเราอยู่” ยังสะท้อนความเป็นจริงของโรงเรียนในสมัยนี้ได้อีกหรือไม่
เรื่องที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด คือ การทุจริตโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร โดยคณะกรรมการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 2 ได้มีมติให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งกรรมการสอบสวนข้อร้องเรียน ซึ่งได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่ามีความผิดปกติในการใช้งบประมาณในการจัดซื้อวัตถุดิบประกอบอาหารที่ไม่ตรงกับใบเสร็จรับเงิน ปริมาณของวัตถุดิบที่ได้รับไม่ตรงกับใบสั่งซื้อ และมีการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหลายกรณี ได้แก่ ปลอมแปลงเอกสาร และเบิกเกินกว่าที่ซื้อจริง โดยคณะกรรมการ สันนิษฐานว่าการทุจริตน่าจะเกิดจากการสมยอมระหว่างผู้ขาย กับคณะกรรมการตรวจรับวัตถุดิบและพัสดุอาหารกลางวันของโรงเรียน ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผู้มีบทบาทในการตรวจสอบความถูกต้องกลับละเลยหน้าที่ อาจส่งผลให้เด็กๆ มีภาวะทุพโภชนาการจากการรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพได้
แต่สิ่งที่ทำให้กรณีทุจริตนี้มีความแตกต่างจากกรณีอื่นๆ คือความตื่นรู้สู้โกงของผู้เกี่ยวข้อง หลังจากเกิดเหตุการณ์ มีผู้ปกครองจำนวนมากไปร่วมให้ข้อมูลและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ค ต้องแฉ ที่ “ไม่ใช่เพจข่าว” แต่เป็นเพจ ระดมข้อมูล หรือ crowdsourcing เพื่อให้ผู้คนได้เข้ามาแลกเปลี่ยน พูดคุย และร่วมให้ข้อมูล เพื่อค้นหาคำตอบและวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเพจต้องแฉนี้ ได้นำเสนอประเด็นการทุจริตโครงการอาหารกลางวันเพื่อขอข้อมูลจากคนในพื้นที่ ทำให้มีผู้ใช้งานเฟซบุ๊คเข้าไปแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก รวมถึงเสนอวิธีการแก้ปัญหาโครงการทุจริตอาหารกลางวันเด็กที่น่าสนใจหลายวิธี โดยข้อเสนอที่ผู้เขียนอ่านเจอส่วนใหญ่ เป็นการเสนอให้ผู้ปกครองเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการตรวจสอบการดำเนินงานของโรงเรียน และให้คณะกรรมการโรงเรียนเปิดเผยแผนการดำเนินงานโครงการต่างๆ ภายในโรงเรียนเพื่อให้ผู้ปกครองสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงการให้เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการติดตาม สอดส่องการทำงานของโรงเรียน ในฐานะที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการบริหารงานของโรงเรียน เช่น มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่โปร่งใส มีระบบการรับเรื่องร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ
เมื่อวิเคราะห์ข้อเสนอที่สร้างสรรค์เหล่านี้แล้ว จะพบว่าสิ่งสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้เลยในการสนับสนุนให้ทุกฝ่ายสามารถมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลและตรวจสอบการทำงานของโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คือความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างหรือแผนงบประมาณในการบริหารจัดการของสถานศึกษาอย่างละเอียด ทั้งในส่วนงบประมาณที่ได้รับและรายจ่ายที่ใช้ไป ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากกว่าการติดประกาศรายการอาหารและจำนวนวัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหารตามที่อธิบดีกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้แจ้งไว้
จากข้อวิเคราะห์ดังกล่าว ผู้เขียนพบงานวิจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจ คือเรื่อง Information for accountability : Transparency and citizen engagement for improved service delivery in education systems โดย Lindsay Read และ Tamar Manuelyan Atinc ซึ่งเสนอว่า ข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างกลยุทธ์ในการปฏิรูปสถาบันการศึกษา และการเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพเกี่ยวกับสถานศึกษา ทั้งจากแหล่งข้อมูลส่วนกลางและแหล่งข้อมูลท้องถิ่น จะช่วยให้ผู้ปกครองและชุมชนสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นในการเข้าร่วมติดตามและตรวจสอบการทำงานของโรงเรียน และสร้างแรงกดดันให้กับผู้บริหารโรงเรียนและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการแก้ไขและปรับปรุงประสิทธิภาพของสถานศึกษาได้ ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลอย่างมีคุณภาพจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มความรับผิดชอบต่อสังคมของโรงเรียน และวิธีการหนึ่งในการทำให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลอย่างมีคุณภาพนี้คือ จากการจัดทำฐานข้อมูลร่วมกันโดยภาครัฐและภาคประชาชน เพราะข้อมูลจะได้รับการตรวจสอบและอัพเดทแบบเรียลไทม์ นำไปสู่ฐานข้อมูลของสถานศึกษาระดับประเทศและระดับภูมิภาคสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง
จากงานวิจัยดังกล่าวยังได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของโครงการหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ คือ “โครงการ Check My School” ซึ่งใช้การเปิดเผยข้อมูลอย่างมีระบบ มาส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในการติดตามและตรวจสอบผลการปฏิบัติงานของสถานศึกษา เพื่อแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและเพิ่มความโปร่งใสในสถานศึกษา โดยมุ่งเน้นความร่วมมือของคนในพื้นที่เป็นหลัก มีการอบรมคนในชุมชน ผู้ปกครอง เด็ก และคุณครู เรื่องระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างและการตรวจสอบครุภัณฑ์ในโรงเรียนเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการร่วมกันรับผิดชอบโรงเรียนในพื้นที่ของตนเอง วิธีการนี้ทำให้เกิดเครือข่ายอาสาสมัครในพื้นที่กว่าหนึ่งพันคนทั่วประเทศที่ได้รับการอบรมให้มีความพร้อมในการเก็บข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ในโรงเรียน เพื่อระบุปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียน นอกจากนี้โครงการได้สร้างความร่วมมือกับวิทยาลัยท้องถิ่นในการระดมอาสาสมัคร เช่น นักศึกษา กลุ่มลูกเสือ และชมรมต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในคณะทำงานอีกด้วย
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการ คือ การออกแบบช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร้องเรียนปัญหา โดยมีระบบการจัดการข้อร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในที่สุด (Citizen Feedback System) เริ่มตั้งแต่ประชาชนส่งข้อมูลผ่านระบบ โดยระบุเพียง ชื่อโรงเรียน ชื่อครูผู้สอน และระบุสถานภาพของผู้ส่ง เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นแล้ว ทางโครงการจะส่งทีมอาสาสมัครลงไปตรวจสอบและประสานงานกับโรงเรียนเพื่อสรุปปัญหาจากการตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขปัญหา โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมกับโรงเรียนที่ถูกร้องเรียน โครงการจะมีการตรวจสอบเปรียบเทียบทั้งข้อมูลที่ประเมินโดยภาครัฐและข้อมูลที่ประเมินโดยอาสาสมัคร หลังจากนั้นทีมงานจะอัพโหลดรายงานขึ้นบนเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบและติดตามผลการแก้ไขปัญหาได้ในทันที นอกจากนี้ยังมีการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะที่ถูกต้องเกี่ยวกับการให้บริการด้านการศึกษาของภาครัฐ โดยมีช่องทางออนไลน์ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นและแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมในแต่ละกรณีได้ด้วย
จากการศึกษาโครงการ Check My School ผู้เขียนขอสรุปปัจจัยที่ทำให้โครงการประสบความสำเร็จ นั่นคือ หนึ่ง การมีส่วนร่วมของพลเมืองตื่นรู้สู้โกงในพื้นที่ สอง การสนับสนุนการดำเนินงานโดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง มีการเซ็นสัญญาร่วมกันระหว่างภาครัฐกับโครงการเพื่อให้แน่ใจว่ามีผู้รับผิดชอบ และสาม มีการจัดตั้งกลไกในการดำเนินงานอย่างชัดเจน รวมถึงการนำข้อมูลที่ได้มาเปิดเผยอย่างเป็นระบบและมีคุณภาพ เมื่อประกอบปัจจัยทั้งสามนี้เข้าด้วยกันแล้ว นอกจากจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรงบประมาณของภาครัฐให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลนหรือประสบปัญหาจริงๆ แล้วยังสามารถป้องกันการทุจริตในโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิผลด้วย เพื่อนำงบประมาณมาสร้างสรรค์โรงเรียนให้น่าอยู่อย่างมีคุณภาพได้จริง ให้เด็กๆ ชอบไปโรงเรียนได้จริง และได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพจริงด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี