ในบทความที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับเมื่อวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561 (คอลัมน์ปรีชาทัศน์) ผู้เขียนได้กล่าวถึง “การสร้างผู้นำในระบอบธรรมาธิปไตย” และจะขอขยายความสักเล็กน้อยในวันนี้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
“ธรรมาธิปไตย” มิใช่ระบอบใหม่ในสารบบการเมือง แต่ก็คือ “ประชาธิปไตย” ในความหมายทั่วไปที่เป็นระบบการเมืองการปกครองที่รัฐบาลจะได้รับความยินยอมเห็นชอบจากประชาชน (ที่แสดงเจตนารมณ์ผ่านรัฐสภา) แต่ที่จะเรียกว่า “ธรรมาธิปไตย” ก็เพราะมีหลักการสำคัญควบคู่ คือ หลัก/กระบวนการตัดสินใจด้วยปัญญา โดยมีเจตนาที่เป็นธรรม
“เจตนาที่เป็นธรรม” คือ การกำหนดเป้าหมายของนโยบาย/และการออกกฎหมายที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม ซึ่งเป็นธรรมต่อชนทุกชั้นวรรณะ ทุกนิกายศาสนา เป็นธรรมต่ออนุชนรุ่นในอนาคต และต่อรุ่นปัจจุบัน (ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ว่างั้นเถอะ)
ส่วนการตัดสินใจด้วยปัญญา คือการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายที่ชาญฉลาด มีหลักวิชา มีเหตุผล และประกอบด้วยปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
มีกรณีใดบ้างที่รัฐบาลในอดีตออกนโยบายที่อยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาความรู้และหลักวิชา มีกรณีใดบ้างที่ออกนโยบายที่แอบแฝงผลประโยชน์ของตนและพรรคพวกที่จะบ่อนทำลายประเทศชาติในที่สุด
นโยบายของรัฐบาลในอดีตอาจมีข้อผิดพลาดต่างๆ นานา ผู้คนสมัยนี้ต้องเรียนรู้ เช่น นโยบายประชากรที่มุ่งหน้าจะลดจำนวนเด็กเกิดใหม่ในยุคแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3-4 ก็มีผลให้สังคมไทยต้องนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศในยุคนี้ และสร้างปัญหาอื่นๆ ตามมา หรือนโยบายสร้างแต่ถนน แต่ไม่คิดวางแผนสร้างระบบรางไฟฟ้าใต้ดิน หรือการคมนาคมทางน้ำ ก็เป็นนโยบายที่ไม่รอบคอบ และปัจจุบันนโยบายประชานิยม ซึ่งนำไปสู่ความหายนะของการเกษตร และการทุจริตอย่างใหญ่หลวง และการขัดแย้งทางการเมืองดังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กรณีเหล่านี้คือกรณีของการตัดสินใจออกนโยบายที่ขาดความรอบคอบและหลักวิชา
ระบบการศึกษาจึงต้องหาทางป้องกันปัญหาเหล่านี้ โดยเตรียมเยาวชนของเราให้มีความรู้/ความคิด และปัญญาที่จะขบคิดและไตร่ตรองปัญหาทางสังคม-เศรษฐกิจ-การเมือง จากระดับที่ง่ายไปสู่ระดับที่ยาก จะต้องได้รับการฝึกฝนให้คิดเป็นระบบ คิดให้กว้างขวาง เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ เรียนรู้ศาสตร์ของการเมืองอย่างทะลุปรุโปร่ง จากระดับง่ายสู่ระดับที่ยาก เช่น ในระดับมัธยมศึกษา (ตอนต้น-ปลาย) ควรจะเรียนรู้ให้เข้าใจความหมายของความคิดพื้นฐานของระบอบการเมือง-การปกครอง เช่น หลักสิทธิ-เสรีภาพ หลักของอำนาจและอำนาจที่ชอบธรรม ต่างกันอย่างไร หลักของเสถียรภาพ-ความมั่นคง หลักของความเป็นผู้แทน (ราษฎร) คืออย่างไร
เมื่อขึ้นสู่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จึงควรศึกษาองค์ประกอบที่ดีของรัฐธรรมนูญ เช่น หลักสิทธิเสรีภาพ อำนาจอธิปไตย หลักการคานอำนาจ หลัก “Rule of Law” (หลักนิติธรรมรัฐ) เป็นต้น
เรื่องการสร้างปัญญา ความรู้ ความคิด ควรมีขอบเขตกว้างขวาง และผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาทางสังคมศาสตร์-เศรษฐศาสตร์ อาจมีข้อเสนอแนะได้มาก แต่เรื่องการสร้าง “เจตนาที่เป็นธรรม” เป็นเรื่องที่ยาก เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างความรู้กับทัศนคติ อุดมการณ์ และระบบคุณค่า ซึ่งต้องหล่อหลอมตั้งแต่เยาว์วัยในอ้อมกอดของมารดา จนกระทั่งอนุบาลศึกษา ตลอดจนผ่านวัยรุ่น เช่น ทีมฟุตบอลหมูป่า ที่ฝึกกันมาเป็นทีม มีทีมสปิริตอย่างดีเยี่ยม
โรงเรียนพับลิคสกูลของอังกฤษที่จัดตั้งมาหลายศตวรรษ สำหรับลูกหลานของตระกูลขุนนาง จึงมีระบบการฝึกเด็กนักเรียนให้มีวินัย มีสปิริตที่เสียสละ เห็นแก่ส่วนรวม มีสภาวะผู้นำ-ผู้ตามที่ใช้เหตุผลและร่วมแรงร่วมใจ
การฝึกฝน-อบรมเด็กวัยอนุบาล-เด็กเล็ก-ประถมศึกษา จึงควรผ่านหนังสือนิทาน เช่น อีสป บทกลอนที่สอนจิตใจ-กิริยามารยาท ตลอดจนการสร้างสติ ความรอบคอบ เช่น บทกลอนของสุนทรภู่ เชกสเปียร์
การสอนประวัติศาสตร์และการเมือง ตลอดจนชีวประวัติของมหาบุรุษ จึงมีส่วนสร้างจิตใจให้ใฝ่ดี ใฝ่ประโยชน์ส่วนรวม และมุ่งทำความดีเพื่อสังคมและประเทศชาติ
ที่สำคัญคือการให้การศึกษาอบรมทางศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธที่มีลักษณะใกล้เคียงกับปรัชญาและเป็นหลักที่สอนธรรมะ มากกว่าเน้นลัทธิ จะสร้างความสามัคคีปรองดองได้อย่างดี ผู้ที่สนใจควรอ่านหนังสือพุทธธรรม ซึ่งพระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุติ ปยุตฺโต) ได้ประพันธ์ไว้ จะกล่าวถึงเหตุปัจจัยที่จะนำไปสู่ผลถึง 10 ประการ นัยหนึ่งการวิเคราะห์ “สาเหตุ” ไม่จำกัดเพียงนิรนัย (deductive) กับ อุปนัย (inductive) เท่านั้น แต่แยกแยะวิเคราะห์ได้ถึง 10 ประการ เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีโลกทัศน์กว้างขึ้น
การสร้างอุปนิสัยชาวไทยให้เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติ เป็นประเด็นสำคัญอันดับหนึ่งในการจัดการศึกษา หากเรื่องนี้ทำได้สำเร็จ เรื่องอื่นๆ ก็จะตามมา ฉะนั้นในการกล่าวถึงการปฏิรูปการศึกษาจึงต้องกำหนดเป้าหมายนี้ไว้เป็นอันดับแรก และบทบาทของกระทรวง คือ สร้างแนวทาง (กรอบแนวคิด) และหนังสือประกอบการเรียนการสอน เพื่อสร้างบุคลิก นิสัย ค่านิยม อุดมการณ์ของนักเรียน-นักศึกษา ให้เข้าใจเรื่องประโยชน์สาธารณะที่ต้องมาก่อนประโยชน์ส่วนตน การทุจริตคอร์รัปชั่นคือโรคร้ายของสังคม และนักการเมืองต้องปราศจากโรคร้ายนี้อย่างเด็ดขาด หากประชาชนรู้จักเลือกผู้แทนอย่างชาญฉลาด และไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง แต่มีความรอบรู้ในประเด็นสาธารณะ ไม่ถูกหลอก ถูกชักจูงอย่างง่ายๆ หากการศึกษารวมทั้งองค์การศาสนาและสื่อสารมวลชนร่วมมือตั้งเป้าหมายที่จะสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้/สังคมแห่งเหตุผล และการรู้แจ้ง พยายามยกระดับความรู้สึกนึกคิดของประชาชนให้รอบรู้ เข้าใจผลประโยชน์สาธารณะ และร่วมมือร่วมใจกัน ไม่แตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า แต่ยึดผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ระบอบประชาธิปไตยที่มีธรรมะเป็นตัวนำก็ย่อมจะเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องสงสัย
การปฏิรูปการศึกษาจึงควรปฏิรูปเพื่อสร้างระบอบธรรมาธิปไตย มิใช่ตามก้นฝรั่งอยู่ร่ำไป
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี