ผมเคยนำข้อมูลของนักวิชาการมาเสนอเมื่อหลายวันก่อน ว่าโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) อภิมหาโปรเจกท์ของรัฐบาลอาจจะไปไม่ถึงฝัน ถ้าการประมูลแหล่งปิโตรเลียม “บงกฎ-เอราวัณ” เกยตื้น เพราะอาจไม่มีพลังงานมาป้อนในการขับเคลื่อนโปรเจกท์ต่างๆ ให้บรรลุผล
ข้อมูลนี้ นายบวร วงศ์สินอุดม รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เคยประกาศกลางงานเสวนา “บงกช เอราวัณ ล่าช้า ตัดโอกาส ลดศักยภาพ!!! เศรษฐกิจไทย” ว่า การประมูลควรเกิดขึ้นและสำเร็จไปตั้งแต่ 2 ปีก่อน แต่ก็เกิดความล่าช้ามาโดยตลอด แม้ภาครัฐจะกำหนดขั้นตอนที่ชัดเจนแต่ก็เลื่อนไปเลื่อนมา เพราะไม่ว่าจะออกแบบการประมูลรูปแบบใด ก็มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยจึงไม่มีสิ่งใดยืนยันว่าจะได้ผู้ชนะประมูล
ฉบับนี้ ท่านผู้รู้ด้านพลังงาน ส่งบทความมาให้ผมอีกครับ ขออัพเดตย่อๆ ให้อ่านกัน ว่า หลังจากเงียบหายกันไปพักใหญ่ในประเด็นพลังงาน นักเคลื่อนไหว กลุ่มการเมือง บางกลุ่มก็ขยับแสดงความเห็นอีก
โดยแยกวง แยกบทกันเล่นในรูปแบบต่างๆ แต่ มีเป้าหมายเดียวกัน คือ การปลุกผี “บรรษัทพลังงานแห่งชาติ (NOC)” ถึงขั้นปักธงจะให้รัฐบาลล้มการประมูลแหล่งปิโตรเลียม บงกช และแหล่งเอราวัณ ที่กระทรวงพลังงานกำลังดำเนินการไว้ก่อน หากยังไม่สามารถจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติได้
ถ้าไม่ลืมกันคงจะจำกันได้ว่า บงกช และแหล่งเอราวัณ เป็นแหล่งปิโตรเลียม ที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ เนื่องจากปริมาณผลิตก๊าซธรรมชาติจากทั้ง 2 แหล่งนี้คิดเป็น 76% ของปริมาณการจัดหาก๊าซในอ่าวไทย และ 44% ของปริมาณการจัดหาก๊าซทั้งประเทศ และก๊าซธรรมชาติจากทั้ง 2 แหล่งนี้ เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หากการดำเนินการล่าช้า สถานการณ์พลังงานของประเทศคงเข้าขั้นมืดบอดในไม่ช้า
บรรษัทพลังงานแห่งชาติ ไม่ใช่เรื่องใหม่ และเป็นหัวข้อที่มีการหยิบยกมาหารือกันหลายครั้ง ที่หลายประเทศก็ล่มจมมาแล้วจากการตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ ซึ่งล่าสุดยังอยู่ระหว่างการศึกษาของ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ที่ผลการศึกษาอย่างเป็นทางการยังไม่ออกมา
ขณะเดียวกันยังมีความเห็นตรงกันจากหลายฝ่ายว่า ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติขึ้นมาใหม่ให้ซ้ำซ้อน เนื่องจากปัจจุบันมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่นี้อยู่ โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จะทำหน้าที่การกำกับดูแล (Regulator) รับนโยบายโดยตรงจากกระทรวงพลังงาน ที่ส่งต่อมาจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และจากคณะรัฐมนตรี ขณะที่บทบาทของหน่วยงานปฏิบัติการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ไปจนถึงการกลั่นและค้าน้ำมัน (Operator) มี ปตท. และ ปตท.สผ. ทำหน้าที่เสมือนบรรษัทพลังงานแห่งชาติ อยู่แล้ว
แต่กลุ่มเคลื่อนไหวก็มีเหตุผลในข้อเรียกร้องให้มีการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ ก่อนจะมีการประมูลเกิดขึ้น โดยบอกว่า จะทำให้การรับซื้อและขายพลังงานมีความเป็นธรรม โดยจะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนรัฐทั้งหมด เช่น แท่นขุดเจาะ ระบบท่อขนส่งปิโตรเลียม สถานที่เก็บปิโตรเลียม หรือแม้แต่โรงแยกแก๊ส เป็นผู้ขายปิโตรเลียมที่เป็นของรัฐตามสัญญาจ้างผลิตบริการ และตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต รวมถึงเป็นผู้ซื้อปิโตรเลียมในส่วนที่แบ่งปันเป็นของเอกชนตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต และปิโตรเลียมของเอกชนตามสัมปทาน
ซึ่งก็มีเหตุผลกันคนละอย่างที่ทุกฝ่ายสามารถแสดงความเห็นได้ กระนั้นหาก มีจุดยืนบนใจที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง เพื่อต้องการให้ประเทศชาติได้เดินหน้าไปด้วยความโปร่งใส กลุ่มที่เรียกร้อง ควรจะออกมาแสดงตนว่า หากผลักดันให้มีการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ ได้สำเร็จ จะไม่รับตำแหน่งใดๆ ในองค์กรใหม่แห่งนี้
คำถามนี้เคยมีการถามกันหลายหน แต่จนถึงทุกวันนี้ กลับเงียบหายไร้สัญญาณตอบรับ
จะว่าไปแล้วทุกฝ่าย ควรจะรอผลการศึกษาอย่างเป็นทางการของสภาพัฒน์ ที่เป็นที่ยอมรับของสังคมออกมาก่อน และกับสถานการณ์ปัจจุบัน การเมืองที่มีทหารเป็นผู้นำ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องคิดอย่างรอบคอบ ท่องคาถาไว้เลยว่าถ้าบงกฎ-เอราวัณ ล่ม โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ก็ฟุบ หากทอดเวลาไปถึงรัฐบาลเลือกตั้ง สารพัดปัญหาด้านพลังงานของชาติจะตามมาอีกมาก
ทั้งหมดเป็นความเห็นของท่านผู้รู้ด้านพลังงานที่เกาะกระแสใกล้ชิด และห่วงใยอนาคตด้านพลังงานของไทย นำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้กัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี