ข่าวครูบางกลุ่ม ในเขตจังหวัดภาคอีสาน (ซึ่งมีจำนวนมิใช่น้อย) รวมตัวประกาศอย่างหน้าไม่อาย (แต่บางคนวิพากษ์ว่าหน้าทน ไร้ยางอาย) จะไม่ชำระหนี้ที่กู้ยืมจากสถาบันการเงินผู้ให้กู้ โดยอ้างว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการกู้ยืม แถมยังเรียกร้องให้รัฐบาลลงไปรับรองการพักชำระหนี้ของครูกลุ่มดังกล่าวด้วย
แน่นอนว่าครูกลุ่มที่ก่อเรื่องน่าละอายเช่นนี้ มิใช่ครูทั้งประเทศของไทย และมีผู้ยืนยันตรงกันว่าครูจำนวนมากของไทย ยังเป็นคนดี มีความคิด มีความรับผิดชอบ เพราะฉะนั้น อย่าวิจารณ์ครูแบบเหมาลำ หรือเหมายกเข่ง แต่ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับว่า เมื่อครูบางกลุ่มมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ชื่อเสียงและเกียรติภูมิของครูไทยทั้งหมดก็ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วยโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
มีคำถามง่ายๆ จากวิญญูชนในสังคมไทยฝากถามครูว่า เพราะเหตุผลใดครูซึ่งเป็นผู้เต็มใจและตั้งใจก่อหนี้แล้ว จึงจะไม่ยอมชำระหนี้ที่ตนก่อไว้ และมีคำถามต่อไปว่า ผู้ให้กู้ยืมเขาไปวิงวอน หรือบีบบังคับให้ครูต้องกู้หนี้ยิมสินกับเขา กระนั้นหรือ ขอเรียนถามย้ำอีกครั้งว่า ครูที่เป็นลูกหนี้ โปรดกรุณาตอบให้ชัดด้วยว่า ทำไมจึงต้องก่อหนี้ ทำไมไม่คิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะก่อหนี้ แล้วเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า หากก่อหนี้แล้วจะมีปัญญาชดใช้ตามกำหนดเวลาหรือไม่ หรือถ้าหากไม่ก่อหนี้ขึ้นมาแล้ว ตนเองจะดำรงชีวิตต่อไปอีกไม่ได้ กระนั้นหรือ
ข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นโดยประการทั้งปวงจากกลุ่มครูผู้ที่สังคมประณามว่าจงใจเบี้ยวหนี้คือ ดอกเบี้ยโหด ผ่อนเงินต้นมาตั้งนาน แต่เงินต้นลดลงน้อยมาก เพราะเงินที่ส่งไปกลายเป็นค่าดอกเบี้ยเกือบทั้งหมด รวมถึงข้ออ้างที่บอกว่าถูกสถาบันการเงินเอาเปรียบ ขอบอกว่าข้ออ้างเหล่านี้ฟังไม่ขึ้น เพราะก่อนจะตกลงทำสัญญากู้นั้น ครูไม่เคยอ่านเงื่อนไขและกติกาใดๆ ก่อนหรอกหรือ หรือว่าเขาให้ลงชื่อในเอกสารอะไรก็หลับหูหลับตาเซ็นไปโดยไร้สติ ครูเคยตั้งสติแล้วตอบตัวเองก่อนไหมว่า เมื่อกู้มาแล้ว ในแต่ละเดือนตนเองจะต้องมีภาระส่งเงินคืนอย่างไร มากน้อยเท่าไร แล้วตัวเองรับผิดชอบต่อภาระที่ก่อไว้ได้หรือไม่
ตามข่าวระบุว่า แกนนำครูที่ประกาศให้เบี้ยวหนี้ยอมรับว่า ผู้กู้แต่ละรายจะกู้ยืมได้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ผ่อนชำระ 30 ปี หรือ 360 งวด ส่วนข้ออ้างที่ว่าสถาบันการเงินที่ให้กู้คิดอัตราดอกเบี้ยไม่ต่างไปจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ก็เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อผู้ให้กู้ประกาศชัดเจนตั้งแต่แรกว่าคิดอัตราดอกเบี้ยเท่าไร ดังนั้น ประเด็นเรื่องดอกเบี้ยแพงก็จึงไม่สามารถนำมาใช้เพื่อบิดพลิ้วการชำระเงินคืนได้ มีคำถามว่า ครูที่จงใจก่อหนี้เอาอะไรมาคิดไม่ทราบ เหตุใดจึงคิดว่าธนาคารออมสินต้องคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าหรือถูกกว่าธนาคารพาณิชย์อื่นๆ แล้วครูลืมคิดหรือว่าธนาคารออมสินก็มีหน้าที่หากำไรจากการทำธุรกิจเหมือนเช่นธนาคารพาณิชย์ทั่วไป เพราะฉะนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ธนาคารออมสินต้องคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับครูถูกหรือต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ
ขอยืนยันว่า ผู้ตั้งใจและจงใจก่อหนี้สิน มีหน้าที่ต้องชำระหนี้สินที่ตนเองก่อไว้ การประกาศไม่ชำระหนี้คือการประจานตัวเอง อย่าลืมว่าก่อนจะตัดสินใจกู้นั้น ผู้กู้เคยถามตัวเองหรือไม่ว่า จำเป็นต้องก่อหนี้ก่อสินหรือไม่ แล้วเมื่อเป็นหนี้แล้วมีปัญญาจ่ายหรือชำระหนี้ตามกติกาหรือไม่ หรือคิดแค่เพียงว่ากู้ยืมไปก่อน ส่วนจะมีปัญญาชำระคืนได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในความคิด อย่างไรก็ตาม คนไทยยังคงเชื่อมั่นว่าครูไทยส่วนใหญ่ยังเป็นคนมีความละอาย และมีความรับผิดชอบ แต่ถ้าหากความเชื่อถือดังกล่าวของคนไทยต่อครูสูญสลายไปแล้ว ครูจะไม่เหลือเกียรติภูมิและคุณค่าใดๆ อีกต่อไป เพราะฉะนั้น ครูที่มีความคิดและความละอายจึงไม่ควรทำลายเกียรติและคุณค่าของตัวเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี