“I dive for passion and always wondered if it had purpose. Last two weeks is what I prepared for my entire life. (ผมดำน้ำด้วยความหลงใหลและรู้สึกแปลกใจเสมอว่าทำไปเพื่ออะไร, กระทั่งเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วจึงได้รู้ว่านี่คือสิ่งที่ผมได้เตรียมตัวมาทั้งชีวิต)”
คำกล่าวของ จอห์น โวลันเธน (John Volanthen)นักดำน้ำชาวอังกฤษผู้ร่วมปฏิบัติการช่วยชีวิตนักฟุตบอลและโค้ชทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมีรวม 13 ชีวิต ซึ่งติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 23 มิ.ย. 2561 ซึ่งเมื่อทราบข่าวเขาก็รีบเดินทางมายังประเทศไทยทันที จนช่วงดึกของวันที่ 2 ก.ค. จอห์นและเพื่อนนักดำน้ำชาวอังกฤษที่ดำน้ำไปด้วยกัน ริชาร์ด สแตนตัน (Richard Stanton) ก็พบทั้ง 13 คน กระทั่งทีมกู้ภัยสามารถนำตัวทั้งหมดออกจากถ้ำจนเสร็จสิ้นภารกิจเมื่อค่ำวันที่ 10 ก.ค. ท่ามกลางการเอาใจช่วยของคนทั่วโลกที่ติดตามข่าว
เรื่องราวของปฏิบัติการกู้ภัยครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดภาพชาวโลกรวมใจเป็นหนึ่งเดียวในชีวิตจริง ที่ปกติมักพบได้แต่ในภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังให้ข้อคิดหลายประการอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ “ทักษะบางอย่างที่เป็นงานอดิเรก หรือที่เป็นวิชาประดับความรู้ไม่ใช่อาชีพหลักในชีวิตประจำวัน บางสถานการณ์หากมีไว้ก็สามารถต่อลมหายใจให้ผู้อื่นได้” ดังเรื่องราวสุดเหลือเชื่อของจอห์นและเพื่อนๆ นักดำน้ำของเขา รวมถึง “โค้ชเอก” เอกพล จันทะวงษ์ ที่เคยบวชและฝึกสมาธิเป็นประจำ ก็แนะนำให้เด็กๆ ทีมหมูป่าทำสมาธิเพื่อลดความหิวระหว่างติดอยู่ในถ้ำด้วยกัน
จากเรื่องระดับโลกย้อนกลับมาดูบริบททั่วไปใกล้ตัว เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ร่วมกับศูนย์กู้ชีพนเรนทร โรงพยาบาลราชวิถี จัดเสวนาและฝึกอบรมในหัวข้อ “ต้องช่วยอย่างไรเมื่อหัวใจหยุดเต้น” ให้ประชาชนทั่วไปเห็นความสำคัญของทักษะการทำ “ซีพีอาร์”(CardioPulmonary Resuscitation : CPR) หรือการปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่หมดสติไม่ให้หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้น ด้วยเล็งเห็นว่าหากผู้ประสบเหตุได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและถูกวิธีระหว่างรอทีมกู้ภัยมาถึง ย่อมเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้มากขึ้นไปด้วย
เกรียงไกร ล้ำเลิศปัญญา ผู้มีอาชีพหลักเป็นนักธุรกิจแต่เคยมีโอกาสได้ใช้ทักษะการทำ CPR ช่วยคนหมดสติจนอาการปลอดภัยมาแล้ว เล่าว่า จุดเริ่มต้นมาจากตนเองเป็นนักศึกษาในหลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้า และได้เข้าร่วมโครงการแพทย์สัญจรที่ รพ.อานันทมหิดล จ.ลพบุรี จึงได้รับการฝึกอบรมการทำ CPR ด้วย ซึ่งทักษะนี้ก็สอดคล้องกับงานอดิเรกอีกอย่างคือการวิ่งออกกำลังกาย ซึ่งก่อนหน้าที่จะรู้จักการทำ CPR นั้นยอมรับว่าเคยเจอคนที่วิ่งอยู่ดีๆ ก็วูบหมดสติอยู่หลายครั้ง แต่ในเวลานั้นไม่สามารถช่วยอะไรได้เพราะไม่มีความรู้
เกรียงไกร ระบุว่า ทักษะ CPR มีความสำคัญมากเพราะ “ทุกเสี้ยววินาทีคือชีวิต ยิ่งช้าโอกาสรอดกลับมาเป็นปกติยิ่งน้อยลง และหมอเก่งแค่ไหนก็ช่วยไม่ทัน”ดังนั้นคนใกล้ตัวผู้ประสบเหตุจึงมีความสำคัญมาก หากได้รับการฝึกฝนการทำ CPR จนชำนาญ มีความมั่นใจกล้าช่วยเหลือ ผู้ประสบเหตุก็มีโอกาสรอดได้มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การวิ่งถือเป็นกิจกรรมยอดนิยม มีการจัดงานวิ่งบ่อยครั้งขึ้น ก็จะเห็นข่าวคนวิ่งแล้วหมดสติอยู่เนืองๆ
นอกจากนี้ เกรียงไกร ยังกล่าวอีกว่า “เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย(รปภ.) ควรได้รับการฝึก CPR ในฐานะเป็นทักษะพื้นฐานของอาชีพ” โดยเฉพาะ รปภ. ที่ประจำอยู่ตามสวนสาธารณะต่างๆ เพราะเคยพบเหตุการณ์ซึ่งก่อนที่ตนเองจะเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ รอบๆ ก็มี รปภ. อยู่ในบริเวณนั้นหลายคน แต่ไม่มีแม้สักคนเดียวที่ทำ CPR เป็น ทั้งที่สวนสาธารณะคือสถานที่ที่คนนิยมมาวิ่งออกกำลังกาย และ รปภ. มีโอกาสพบเหตุเช่นนี้ได้เสมอ
เช่นเดียวกับ “ไมค์” อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เล่าว่า ในช่วงวัยรุ่นเคยพบเห็นป้าแม่บ้านล้มหมดสติแต่ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลืออย่างไร ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าต้องโทรศัพท์แจ้งหน่วยงานไหน ซึ่งแม้จะนำตัวส่งโรงพยาบาลได้แต่ก็ช้าเกินไปเสียแล้วและคุณป้าก็เสียชีวิตในที่สุด จึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมเป็นอาสากู้ภัย เพื่อที่จะได้รับการฝึกอบรมทักษะการช่วยชีวิตคนอย่างถูกวิธีหากวันหนึ่งไปประสบเหตุเช่นนั้นอีก โดยในเบื้องต้นได้รับการอบรม CPR รวมถึงการใช้ “เออีดี”(Automated External Defibrillator : AED) หรือเครื่องวินิจฉัยการเต้นของและกระตุกหัวใจ
อาสากู้ภัยผู้นี้ เล่าต่อไปว่า พื้นที่ประจำการของตนคือย่านดินแดง มีครั้งหนึ่งได้รับแจ้งเหตุผู้ป่วยหมดสติ เป็นเวลาช่วงหัวค่ำซึ่งการจราจรติดขัด ขอให้อาสาที่ใกล้ที่สุดเข้าไปก่อนระหว่างรอทีมกู้ชีพจากโรงพยาบาล เมื่อไปถึงได้นำร่างผู้ป่วยลงมานอนบนพื้นราบ เบื้องต้นพบ “ผู้ป่วยไม่ตอบสนองแต่ยังหายใจเฮือกๆ” จึงตัดสินใจทำ CPR แต่เรื่องนี้ก็ต้องชมทางญาติผู้ป่วยด้วยเพราะโทรศัพท์แจ้งเหตุได้รวดเร็ว และอีกอย่างคือทีมอาสากู้ภัยทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ขณะที่คนหนึ่งปั๊มหัวใจอีกคนก็เปิดทางเดินหายใจและรอสลับสับเปลี่ยนเมื่อเพื่อนร่วมทีมเริ่มหมดแรง
“ไม่ว่าเราจะไปไหนก็ตามสามารถเจอผู้ป่วยหยุดหายใจได้ทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ไม่มีอาการอะไรอยู่ดีๆ เดินมาก็ไปเลย หลังๆ เราจะเห็นเยอะ สนามบิน โรงแรม สนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ อยากให้ทุกคนเรียนรู้การทำ CPR ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าไม่มีเวลาไปอบรม เราดูในยูทูบ (Youtube) ก็ได้ อย่างแม่ผมก็อยากรู้ว่าทำอย่างไร พอผมเปิดคลิปให้ดูแม่ก็บอกไม่มีหุ่นให้ฝึก ผมก็เลยไปหาหมอนแข็งๆ มาใบหนึ่งวางบนพื้นราบแล้วให้คุณแม่ลองทำ แม่ก็ทำได้ แม่ก็บอกว่ามันไม่ยาก อยากจะบอกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว ทุกเพศทุกวัยสามารถเรียนรู้ได้” ไมค์ ระบุ
ทางด้าน นพ.อรุณ วิทยะศุภร ก็กล่าวถึงความสำคัญในการทำ CPR โดยคนใกล้ตัวเช่นกันว่า มีครั้งหนึ่งขับรถไปรับบุตรชายวัย 25 ปี กลับบ้าน ขณะนั่งอยู่บนรถบุตรชายเกิดอาการวูบหมดสติทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นคนร่างกายแข็งแรงดี เมื่อหันไปดูพบบุตรชายหายใจเฮือกๆ และมือบิด ก็รู้ได้ทันทีว่ามีอาการหัวใจขาดเลือด จึงพยายามส่งสัญญาณต่างๆ เช่น เปิดไฟฉุกเฉิน โบกไม้โบกมือตะโกนเพื่อขอเส้นทางประคองรถไปจอดยังริมถนนเพื่อทำ CPR
คุณหมออรุณ ระบุว่า ในเวลานั้นต้องปั๊มหัวใจบุตรชายอยู่บนรถเพราะไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยอุ้มร่างของบุตรชายลงจากรถ ซึ่งจริงๆ แล้ว CPR ที่ถูกวิธีต้องทำบนพื้นราบ แต่อาจเป็นโชคดีเพราะรถคันที่ขับนั้นสภาพเก่าแล้วเบาะจึงค่อนข้างแข็ง อีกประการหนึ่งคือสามารถไหว้วานให้คนแถวนั้นโทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินได้ วันนี้บุตรชายจึงรอดมาใช้ชีวิตและทำงานอย่างปกติสุข เพียงแต่จำเรื่องราวขณะเกิดเหตุไม่ได้เท่านั้น
อนึ่ง..ผู้ที่มีโอกาสได้ทดลองฝึก CPR ต่างเห็นสอดคล้องกับแพทย์และทีมกู้ภัยที่มาเป็นวิทยากรว่า “ยิ่งมีคนทำ CPR เป็นเยอะๆ ยิ่งดี” เพราะการปั๊มหัวใจต้องทำอย่างต่อเนื่องและหนักแน่นสม่ำเสมอรอบละ 100-200 ครั้ง และหยุดพักได้ไม่เกิน 10 วินาที ก่อนเริ่มปั๊มรอบต่อไปจนกว่าทีมกู้ภัยมืออาชีพจะมาถึง ซึ่งกินแรงไม่ใช่น้อยโดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังจนเคยชิน หากในบริเวณนั้นมีผู้ทำ CPR เป็นหลายคน ย่อมสามารถสลับสับเปลี่ยนกันได้
แน่นอนคงไม่มีใครอยากเจอคนประสบเหตุฉุกเฉินจนต้องกู้ชีพกู้ภัย แต่เหตุดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเมื่อใดและกับใครก็ได้ และในเวลานั้นสำหรับผู้มีทักษะสามารถช่วยเหลือ ก็คงรู้สึกอย่างเดียวกับหลายท่านที่กล่าวมาข้างต้น นั่นคือ“แค่ได้ช่วยให้คนคนหนึ่งอยู่รอดปลอดภัย” ก็เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างที่สุดในชีวิตแล้ว!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี