อีก 3 ปี ประเทศไทยเข้าสู่สภาพ “สังคมสูงวัย” ซึ่งมีประชากรสูงอายุมากกว่าวัยทำงาน และจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็น “สังคมสูงวัย” เต็มพิกัดในอีก 5 ปีข้างหน้า นั่นแปลว่า การเลือกที่ (ที่หากจะมีในปี 2562) นั้น เราจะมีรัฐบาลที่อยู่ในช่วง “เปลี่ยนผ่าน” สังคมที่เราคุ้นเคยไปสู่สังคมใหม่ ที่มีอะไรน่ากลัวๆ มากมายหลายประการ
หนึ่งในนั้นคือเรื่องปัญหา “สุขภาพ” ของพลเมือง และ “ภาระด้านการรักษาพยาบาล” ที่รัฐไม่อาจผลักให้เป็นความรับผิดชอบของพลเมืองได้ทั้ง 100%
ผมยังไม่เห็นการ “ตั้งรับ” ในเรื่องนี้อย่างมีวิสัยทัศน์จากใคร รวมทั้งไม่มีการ “สร้างการรับรู้” เพื่อให้ประชาชนคนไทยเตรียมการ “รับมือ” กับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
คนจะแก่ขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่มีครอบครัวดูแล เพราะนับวันจะอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น หรือหากแต่งงาน มีคู่ ก็ไม่มีบุตร เงินออมก็ขาดแคลน หลักประกันก็ไม่มั่นคง เมื่อ “ภัยด้านสุขภาพ” เข้ามาเบียดเบียน ชีวิตของคนไทยสูงวัยในอีก 3 ปี 5 ปี ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
กองทุนที่จะถูกเบิกเงินออกมาใช้จ่ายกับการรักษาพยาบาลจะเพียงพอไหม ไม่ว่าจะเป็นกองทุนประกันสังคม หรือหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อะไรพวกนี้
ยังไม่รวมว่า แนวโน้มของการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น อ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดัน หัวใจ ไต ตับ ฯลฯ คุกคามลงมาถึงวัยทำงานและวัยรุ่นแล้ว จากการกินผิด ไม่ออกกำลังกาย และเครียด
ทุกครอบครัวจะมีคนแก่ที่สังขารร่วงโรย ตาฝ้าฟาง อารมณ์แปรปรวน เจ็บออดๆ แอดๆ หรืออาจถึงขั้นแก่ติดเตียวหรือป่วยติดเตียง ขณะที่ลูกหลานต้องออกไปทำงาน หาเงิน ครอบครัวไทยในอีก 3 ปี 5 ปี ข้างหน้า จะอยู่ในสภาพไหน?
สังเกตเห็นภารกิจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนขยับมาสนใจเรื่องนี้ เช่น เดินทางไปดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ที่
เขาพระงาม จังหวัดลพบุรี ไปฟังผลการวิจัยโรคไต ปัญหาพยาธิใบไม้ในตับและมะเร็งท่อน้ำดี ที่จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น ก็พอมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อยว่า มีนักการเมืองระดับ “หัวหน้าพรรค” สนใจปัญหาสุขภาพระดับ “ภูมิภาค” ที่อาจกลายเป็นนโยบายระดับประเทศในวันข้างหน้า แต่ก็ยังไม่ได้ยินได้ฟังว่า สิ่งที่ไปดู ไปฟังนั้น นำมาสู่การคิดด้วยประสบการณ์ของ “อดีตนายกรัฐมนตรี” และพรรคการเมืองที่ยืนยงคงกระพันมา 70 กว่าปี เพื่อแปลงไปสู่ “นโยบายในการดูแลประชาชน” ในวันข้างหน้าอย่างไรไหม แต่อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าการเห็นนักการเมืองหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องดูดไม่ดูด ย้ายพรรคหรือไม่ย้าย
การเมือง คือการรวมอำนาจจากประชาชนไปมองปัญหา ศึกษาปัญหา และแก้ปัญหา ด้วยงบประมาณ + กฎหมาย อยากเห็นนักการเมืองในประเทศไทยสร้างมิตินี้ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม ให้ประชาชนมอง “การเมืองในมุมใหม่” ที่ไม่ใช่ความรู้สึกสำเร็จรูปแบบเหมารวมว่า ถ้าเป็นนักการเมืองต้องโกง ต้องเลว ต้องทะเลาะเบาะแว้ง
หากนักการเมืองไม่เปิดมุมใหม่ๆ (แต่ที่จริงเป็นบทบาทหนึ่งที่นักการเมืองดีๆ ทำมาตลอด) ก็ยากที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในหมู่ประชาชน ซึ่งเป็น “คนเลือกนักการเมือง”
อันที่จริง การใช้กลไกทางการเมือง + กฎหมาย มาจัดการกับปัญหา “สุขภาพ” ของประชาชนนั้น เคยมี เคยเกิด ยกตัวอย่างเรื่องที่กำลังร้อนแรงอยู่ในเวลานี้สักเรื่องก็ได้ นั่นคือ การออกกฎกระทรวง ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย “กรดไขมันทรานส์” ซึ่งยังเป็นเรื่องที่งงและยากของการรับรู้ในเวลานี้ ของคนส่วนใหญ่อยู่
เมื่อปี 2553 เรื่องไขมันทรานส์ มีการตั้งกระทู้ถามในสภามาครั้งหนึ่งแล้ว โดย นายแพทย์เธียรชัย สุวรรณเพ็ญ สส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ โดยพูดถึงกรณีต้องแสดงปริมาณของไขมันทรานส์บนฉลากอาหารหรือไม่ อันเป็นความห่วงใยต่อสุขภาพของผู้บริโภค
นับจากนั้นมา ปัญหาเรื่องไขมันทรานส์ก็ได้รับการศึกษาและติดตามมาโดยตลอดจนในที่สุด เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข
เลขที่ 388 พ.ศ.2561 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย ความว่า...
“ด้วยปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่า กรดไขมันทรานส์ (Trans Fatty Acids) จากน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oils) ส่งผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 (8) แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนและอาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบ เป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย
ข้อ 2 ประกาศฉบับนี้ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป”
แน่นอนครับ สื่อมวลชนตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก และควานหาความรู้มารายงานให้ประชาชนเข้าใจ แม้กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ “บังคับกับผู้บริโภค” โดยตรง แต่บังคับกับผู้ผลิต นำเข้า และจำหน่าย ทว่าหัวใจของการออกกฎหมาย มันคือการ “ปกป้องผู้บริโภค” จึงเป็นเรื่องที่สื่อ นักวิชาการ ตลอดจนผู้บริโภคเอง ควรสนใจ ทำความเข้าใจ และร่วมสร้างกลไกแบบนี้ขึ้นมาให้มากขึ้นๆ
สรุปโดยย่อๆ เพื่อความเข้าใจในการมองเรื่องนี้กันครับ
1) ราวกึ่งศตวรรษที่ผ่านมา โลกตื่นเต้นกับการค้นพบเทคนิคการเติมไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมัน ที่เป็นไขมันชนิด “ไม่อิ่มตัว” ซึ่งมีปัญหาคือ ไม่ทนความร้อนสูง เหลว ไม่คงรูป และเหม็นหืนได้ง่าย อาหารหลายชนิดจึงมีปัญหาต้องทำใหม่ๆ อยู่เนืองๆ ไม่สามารถปรุงเก็บไว้ได้นานนัก
2) กระบวนการเติมไฮโดรเจน หรือ ไฮโดรจีเนชั่น นี้ ถือว่า “พลิกโลก” เลยทีเดียว เกิดไขมันชนิดใหม่ขึ้นมา ที่เรียกว่า “ไขมันทรานส์” ซึ่งช่วยให้อาหารคงรูป เช่น เค้ก เบเกอรี่ ขนมอบกรอบ โดนัท และของทอดทั้งหลาย ชนิดเก็บได้ยาวนาน กรอบ หอม ไม่เหม็นหืน อุตสาหกรรมอาหารจึงเฟื่องฟูมาก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคณะ รับฟังการบรรยายโครงการป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease) ที่ห้องประชุมหนองแวง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (19 ก.ค. 2561)
3) เราจะพบเจอ “ไขมันทรานส์” ได้ใน เนยขาว เนยเทียม มาการีน (สีเหลืองๆ ที่ใส่ในโรตีทอด ทาขนมปังปิ้ง ในขนมปังอบ และใช้แทนน้ำมัน ผัดข้าวผัดปู กันนั่นแหละ) ครีมเทียม คุกกี้ โดนัท วิปครีม ขนมขบเคี้ยว โรตี ซาลาเปา นมข้นจืด นมข้นหวาน และอาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ มันฝรั่งทอด ขนมปัง เค้ก และของทอดต่างๆ เป็นต้น
4) “ไขมันทรานส์” อันตรายอย่างไร? มีงานวิจัยชัดเจนแล้วว่า ไขมันทรานส์ในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เส้นเลือดอุดตันในสมอง อัมพาต ฯลฯ โดยเริ่มจากการเกาะตามผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดอุดตัน ความดันเพิ่ม หัวใจ ไต ตับ ทำงานหนัก จนอวัยวะเหล่านี้มีปัญหา เส้นเลือดเปราะ แตกง่าย นำมาสู่โรคร้ายมากมาย ตลอดจนการตายอย่างเฉียบพลันด้วย
5) สาเหตุที่ผู้ผลิต กลุ่มธุรกิจอาหาร นิยมใช้ “ไขมันทรานส์” เพราะราคาถูก เก็บได้นานกว่าน้ำมันตามธรรมชาติ นำกลับมาให้ความร้อนได้หลายๆ ครั้ง (เช่น ใช้ทอดซ้ำๆ) แม้ว่าจะมีตัวเลือกอื่นที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ได้โดยไม่กระทบกับรสชาติและราคาของอาหารอยู่แล้วก็ตาม
6) เมื่อองค์การอนามัยโลกตื่นตัว รณรงค์กับมวลหมู่สมาชิกใน “หยุดไขมันทรานส์” เสีย รวมถึงประเทศใหญ่ๆ ก็บังคับใช้กฎหมาย ให้ประเทศของตนปลอดการใช้ไขมันทรานส์ในอาหารแล้ว ผลกระทบหากประเทศไทยไม่สร้างรั้วคุ้มครองพลเมืองก็คือ อาหารจำนวนมากที่ใช้ไขมันทรานส์จากประเทศใหญ่ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จะทะลักเข้ามาจำนวนมากและในราคาต่ำ เพราะกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาออกกฎหมายหยุดการใช้ไขมันทรานส์ในอาหารแล้ว
7) มีการเผยแพร่ข้อมูลว่าด้วยยุทธศาสตร์ 6 ขั้นตอนที่จะสามารถกำจัดไขมันทรานส์ได้อย่าง รวดเร็ว หมดจด ยั่งยืนว่า... Replace
โดย RE มาจากคำว่า Review หมายถึง การตรวจสอบถึงแหล่งที่มาของไขมันทรานส์ เพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายตามความเหมาะสม P มาจากคำว่า Promote หมายถึง สนับสนุนการใช้ไขมันประเภทอื่นแทนไขมันทรานส์ / L มาจากคำว่า Legislate หมายถึง การออกกฎหมายข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อกำจัดไขมันทรานส์ / A มาจากคำว่า Assess หมายถึง คอยตรวจสอบปริมาณไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหาร และปริมาณการบริโภคไขมันทรานส์ของประชาชน / C มาจากคำว่า Create หมายถึง การสร้างความตระหนักถึงผลเสียที่ไขมันทรานส์มีต่อสุขภาพ ทั้งในทางภาครัฐ ผู้ประกอบการ และประชาชน และ E มาจากคำว่า Enforce หมายถึง การบังคับใช้กฎหมายข้อบังคับต่างๆ
8) มีตัวเลขที่ชัดเจนระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดและหัวใจเนื่องจากการบริโภคไขมันทรานส์ “มากกว่า 5 แสนคน”
9) อย่างไรก็ตาม มีช่องโหว่เรื่องการระบุปริมาณไขมันทรานส์ บนฉลากอาหารมานาน เนื่องจากฉลากสินมัก เขียนว่า 0 gram trans fat ตรงนี้เป็นช่องว่างในการหลบเลี่ยงของผู้ผลิต ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดได้ ว่าเป็น 0% คือไม่มีอยู่เลย แต่ พญ.ปิยะมาศ สิทธิปรีดานันท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย ประจำ BDMS Wellness Clinic บอกว่า ไขมัน 0% ไม่ได้หมายความว่าไม่มีไขมันทรานส์ หรือไขมันชนิดอื่น เพราะตามกฎหมายขององค์การอาหารและยาระบุว่า “หากมีไขมันต่ำกว่า 0.5% สามารถระบุว่าเป็น 0% ได้” และไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเขียนระบุว่าในอาหารมีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบกี่เปอร์เซ็นต์
10) ดังนั้น เพื่อให้ประกาศนี้มีประสิทธิภาพ อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รัฐบาล สื่อมวลชน ตลอดจนประชาชน สนใจและช่วยกัน “ทำความเข้าใจ” เพื่อให้เกิดความรู้ต่อการบริโภคไขมัน ว่า ต่อให้ประเทศปลอดพ้นไขมันทรานส์ไปแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าไขมันอื่นๆ จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในปัจจุบัน กระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนได้เปลี่ยนไปสู่การเติมไฮโดรเจนอย่างสมบูรณ์ หรือ ฟูลลี่ ไฮโดรจีเนชั่น แล้ว ก็ไมได้แปลว่า การแปลงไขมันไม่อิ่มตัวทั่วไปด้วยการเติมไฮโดรเจนให้มันสมบูรณ์ ข้ามเลยจากการเป็นไขมันทรานส์ไปเป็นไขมันอิ่มตัวนั้น จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะไขมันอิ่มตัวก็ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพไม่ควรบริโภคมาก และควรออกกำลังกายควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีไขมันทุกชนิด แต่ก็ไม่ต้องเสียจริตถึงขั้นไม่กินน้ำมันเลย จนเป็นช่องโหว่ให้สินค้าประเภท “กระทะพระราชาจากเกาหลี” ใช้จุดนี้ขายของกันอีก เพราะถึงอย่างไร ร่างกายก็ยังต้องการไขมันอยู่
11) ประกาศนี้มีผลกระทบต่อการ “ปรับตัว” ของผู้ค้ารายย่อย เช่น โรตี กาแฟเย็น ซาลาเปา ชาชัก เค้กชาวบ้าน ขนมปังทาเนย (เทียม) ฯลฯ ที่คนกลุ่มนี้ อาจไม่มีความรู้พอที่จะปรับเปลี่ยนวัตถุดิบ อาจถึงขั้นเลิกอาชีพ หมดรายได้ตามปกติไปเลย ทางการต้องใส่ใจในเรื่องนี้ และเผยแพร่สูตร ความรู้ ที่จะยังคงผลิตอาหาร เครื่องดื่ม ชนิดดื่ม เป็นอาชีพสุจริตต่อไปได้ เพียงแต่ต้องเปลี่ยนวัตถุดิบจากอะไรเป็นอะไรเท่านั้นเอง อย่าปล่อยจนคนกลุ่มนี้หมดหนทางทำกิน แต่ต้องเริ่มคิด เริ่มอบรม เริ่มเผยแพร่เสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะพวกเขามีเวลาปรับตัวแค่ 180 วันเท่านั้น
12) ให้ความมั่นใจต่อสังคมได้ไหมว่า พ้น 180 วันไปแล้ว จะมีหน่วยงานตรวจตราไม่ให้มีไขมันทรานส์ในอาหาร โดยเฉพาะที่ผลิตด้วยระบบอุตสาหกรรมจริง เพราะบทเรียนของสังคม เช่น กรณีสารต้องห้าม ไซบูทรามีน ก็ยังพบว่านำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักกันเอิกเกริก กินแล้วตายกันไปกี่รายแล้ว จะสร้างเครื่องมือตรวจ หน่วยงานตรวจ หรือเครือข่ายเฝ้าระวังอย่างไรก็คิดเสียใน 180 วันนี้
นี่เป็นตัวอย่างของการใช้กฎหมายเข้ามาคุ้มครองพลเมือง ก่อนหน้านี้ก็มีกฎหมายจำกัด “น้ำตาล” ในเครื่องดื่มขวด โดยเฉพาะชาเขียวขวดทั้งหลาย โดยใช้เรื่อง “ภาษี” เป็นตัวจัดการ
ยังน่าเป็นห่วงเรื่องปริมาณ “เกลือ” ในอาหารอีก ซึ่งโดยตัวเลข ชัดเจนว่าจำนวนผู้ป่วย “ไต” พุ่งสูงขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีนี้ จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร โดยเฉพาะในอาหาร ขนม และเครื่องดื่มของเด็กๆ ที่เต็มไปด้วยแป้ง ไขมัน น้ำตาล และเกลือ
ผมจะรอฟังวิสัยทัศน์เหล่านี้จากนักการเมืองแต่ละพรรคการเมืองต่างๆ
โดยเฉพาะจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งดูลาดเลาแล้ว เหมือนจะตระหนักในเรื่องนี้มากกว่านักการเมืองหรือพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มัวสาละวนอยู่กับเรื่องดูดไม่ดูด แดงแท้แดงเทียม ฉีกรัฐธรรมนูญ ฯลฯ สารพัด
ถึงเวลาที่ประชาชนจะมองหานักการเมือง/พรรคการเมือง ที่เอาปัญหาของประชาชนขึ้นนำปัญหาของตัวเองหรือผลประโยชน์ของตัวเองกันแล้วครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี