ต้นตอแห่งความเสื่อมศรัทธาในวงการพระพุทธศาสนาของไทยนั้นไปๆ มาๆ อยู่ที่การบริหารจัดการภาครัฐของเราเองซึ่งเดิมนั้นหน่วยราชการที่ทำหน้าที่ทำนุบำรุงทุกๆ ศาสนาไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนาทุกๆ นิกายจะเป็นธรรมยุติกนิกาย, มหานิกาย, จีนนิกาย, อนัมนิกายหรือจะเป็นศาสนาอิสลามนิกายซุนหนี่หรือชีอะห์ หรือจะเป็นคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก, กรีกออร์โธดอกซ์,พิวริตัน, โปรเตสแตนท์ ฯลฯ หรือจะเป็นศาสนาฮินดู ซิกข์ ฯลฯ ล้วนอยู่ในความดูแลของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ทั้งสิ้น
ต่อมาในสมัยรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีอาญาไปอยู่ในต่างประเทศ ขณะนี้ได้มีการปฏิรูประบบราชการในปีงบประมาณ 2545 มีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคไทยรักไทยได้เสนอตั้งหน่วยราชการระดับใหญ่กว่าระดับกรมขึ้นมา 2 หน่วยราชการ นั่นคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูกโยกจากสังกัดกระทรวงมหาดไทยให้ไปขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรี
และอีกหน่วยหนึ่งก็คือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติถูกยกให้เป็นส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกัน ทั้งๆ ที่งานมันน่าจะไปเป็นกรมในสังกัดของกระทรวงวัฒนธรรม เหมือนกรมการศาสนาแต่มีการโยกจากที่จะต้องสังกัดในกระทรวงวัฒนธรรมมาให้เป็นหน่วยราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีอีกเหมือนกัน ผู้ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คือ รองนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
งบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในแต่ละปีงบประมาณนั้นจะได้รับปีละ 5,000 ถึง 5,500ล้านบาท ซึ่งนับว่าไม่น้อยเลยและไม่ต้องไปแบ่งให้กับศาสนาอื่นเหมือนอยู่ในกรมการศาสนาเรียกว่าได้กันเนื้อๆ เต็มๆ เอามาต้มยำทำแกงกันได้เต็มที่เต็มทางจุดนี้ละทำให้เป็นช่องทางทำมาหากินกันระหว่างข้าราชการประจำกับคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ในระดับคณะกรรมการมหาเถรสมาคมจนกลายเป็นมหากาพย์แห่งความเสื่อมโทรมตามมาจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตกลายเป็นคดีทุจริตเงินทอนวัดและมันลุกลามใหญ่โต
ทำให้เจ้ากูคณะกรรมการมหาเถรสมาคมต้องตกเป็นจำเลยหรือว่าผู้ต้องหาไปร่วมกับฆราวาสทำเอาสมณเพศอยู่ไม่สุขทำให้ผ้าเหลืองร้อนมีอันต้องเข้าไปจำพรรษาในเรือนจำมหันตโทษอยู่ร่วม 10 รูป บางองค์ก็ต้องหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศต้องไปขอลี้ภัยทางการเมืองอยู่ในต่างประเทศทำให้พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมศรัทธาเสียชื่อและถูกครหาและเป็นช่องทางให้รัฐบาลคสช.ต้องตกเป็นเป้าโจมตีว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชามีเจตนาทำลายพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวแต่ถูกโยงไปสู่การทำลายล้างทางด้านการเมือง
กลุ่มที่โจมตีก็คือสมุนบริษัทบริวารของระบอบทักษิณนั่นแหละไม่ใช่ใครที่ไหน !? เขาหาว่า “ลุงตู่” เป็นพวกนอกศาสนามีเจตนาทำลายพระพุทธศาสนาไปโน่นเลยมีกลุ่มไลน์ออกมาโจมตี “ลุงตู่” อย่างหนักให้ร้ายป้ายสีรัฐบาลถล่มสร้างเป็นข้อมูลว่ารัฐบาลคสช.มีเจตนาทำลายพุทธศาสนากลั่นแกล้งจับพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่เข้าคุก ทั้งๆ ที่มันไม่จริงโจมตีแบบนี้ใครเชื่อก็บ้าละวะ!
แต่ข้อมูลจริงที่มันพาให้เสื่อมก็อยู่ที่ข้าราชการในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระดับผู้บริหารได้ร่วมมือกับพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่นี่แหละร่วมกันทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ผ่านมามีด้วยกัน 9 คน คนแรก คือนายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ คนต่อมาคือ พลตำรวจโทอุดม เจริญ
คนที่สามได้แก่ นายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ มาจนถึงคนที่ 6 นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ กับคนที่ 7นายพนม ศรศิลป์ และคนที่ 8 พันตำรวจโทพงศ์พรพราหมณ์เสน่ห์ คนที่ 6 นี่ละคือ นายนพรัตน์หนีคดีไปอยู่สหรัฐอเมริกา สบายใจเฉิบไปแล้ว ส่วนนายพนมนั้นถูกตำรวจรวบตัวไว้ไม่คิดหนีเพราะอะไรจึงไม่หนีอาจจะไม่ผิดก็ได้ยอมเข้าคุกไปก่อน
ส่วนพันตำรวจโทพงศ์พรเองก็ถูกพวกฝ่ายตรงข้ามโจมตีว่ามาทำลายพระพุทธศาสนามีการไปยื่นแจ้งความกับตำรวจไว้ด้วยอาจจะเป็นการแก้เกี้ยวก็เป็นได้เพราะคดีทุจริตเงินทอนวัดนั้นมีผู้เกี่ยวข้องหลายร้อยรายมีทั้งพระภิกษุและฆราวาสเป็นจำนวนมากมีมูลค่าความเสียหายที่ยังสืบสาวไปไม่หมดสรุปว่าโกงเงินไปนับพันล้านบาทและมีการกระทำเป็นปีๆ มานานหลายปีแล้วด้วย
เอาเป็นว่ามันมีปฐมเหตุแห่งความเสื่อมมาจากการตั้งขึ้นมาเป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินี่แหละเพราะกลายเป็นว่าต้นตอต้นคิดเรียกร้องนี่คือพระไปคบคิดกับข้าราชการและฆราวาสจำนวนหนึ่งเป็นนักการเมืองปีกพรรคเพื่อทักษิณนั่นละแทนที่จะอยู่กระทรวงวัฒนธรรมกลับมาตั้งไว้ที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพราะเหตุไรมีการปลุกระดมเป็นขบวนการเรียกร้องทั้งในต่างประเทศและในประเทศมีการจัดรายการทางวิทยุกระจายเสียงก่อนตั้งเป็นปีๆ
นี่คือเรื่องจริงที่มันโยงใยไปกับนักการเมืองกับพระมหาเถระบางรูปพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังรวมไปถึงสำนักสงฆ์และวัดการเมืองใหญ่ๆ ที่อยู่แถวอำเภอคลองหลวง ปทุมธานี อีกด้วยเป็นมหากาพย์ที่น่าติดตามต่อไปครับท่าน !?
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี