ในวันนี้ สงครามวิวาทะระหว่างผู้นำสหรัฐอเมริกา กับผู้นำอิหร่านนั้นช่างดูรุนแรง ดุเดือด ชนิดขิงก็ราข่าก็แรง ทั้ง 2 ฝ่ายดูพร้อมที่จะเผชิญหน้าต่อกรกันให้ถึงที่สุด โดยทางฝ่ายสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็กล่าวตอบโต้ประธานาธิบดี โรฮานี แห่งอิหร่าน ว่า “จงอย่าได้หยามหน้าและคุกคามสหรัฐอเมริกาอีกเป็นอันขาด” ในทันทีหลังจากที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากข้อตกลง 6 ชาติ (ระหว่าง สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี กับอิหร่าน) ที่ตีกรอบอิหร่านในการพัฒนาแร่ยูเรเนียมเพื่อพลังงานนิวเคลียร์ได้ระดับจำกัด เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยเริ่มเมื่อปี ค.ศ. 2015 โดยแลกกับการยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านทางเศรษฐกิจ ซึ่งทางประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ นั้นเห็นว่าขั้นตอนไม่รัดกุม และไม่ครอบคลุมถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ การผลิตจรวดขีปนาวุธ และเรื่องที่อิหร่านส่งออกซึ่งแนวความคิดระบอบการเมืองการปกครองแบบเทวนิยม รวมทั้งการสนับสนุนการก่อการร้ายสากล และกระบวนการหัวรุนแรงสุดโต่งทางศาสนา
โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี โรฮานี ได้ประกาศเอาไว้ว่า หากครั้งนี้ฝ่ายสหรัฐฯ เลือกจะเจรจาสันติภาพกับอิหร่าน สันติภาพนี้จะเป็น “แม่แบบ” แห่งสันติภาพที่โลกจะไม่เคยเห็นมาก่อน และในทางตรงกันข้าม หากฝ่ายสหรัฐฯ ประสงค์จะเลือกที่จะทำสงครามกับอิหร่าน สงครามนี้ ก็จะเป็น “แม่แบบ” แห่งสงครามที่โลกจะมิได้ประสบพบเห็นมาก่อน ซึ่งต่อมา ทางแม่ทัพหน่วยรบพิเศษของอิหร่าน ก็ได้ออกมาประกาศสำทับคำประกาศของประธานาธิบดี โรฮานี อีกว่า หากสหรัฐฯ ยาตราทัพเข้ามา ก็จะต้องสูญสิ้น ไม่มีอะไรเหลือหรอ ด้วยฝีมือกองกำลังอันร้ายกาจของอิหร่านนี้
อย่างไรก็ตาม วิวาทะแห่งการเผชิญหน้าครั้งนี้ ก็ไม่ได้ดูมืดมนไปเสียหมด เพราะท้ายสุดแล้ว ฝ่ายประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังทิ้งท้ายไว้ว่า สหรัฐฯ นั้นพร้อมที่จะเจรจา ขณะที่ฝ่ายผู้นำอิหร่านเอง ก็ยังมีการกล่าวถึงการเจรจาสันติภาพพ่วงไว้ดังกล่าว ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น โลกก็คงต้องรอดู ด้วยใจระทึกกันต่อไป
ซึ่งก็มีคำถามทั่วไปว่า แล้วทำไมทั้ง 2 ฝ่าย ถึงเลือกที่จะดำเนินการเผชิญหน้ากันเช่นนี้ นอกจากนั้น ทิศทางความสัมพันธ์ในอนาคตจะออกมาในรูปแบบใด จะเป็นการทำสงคราม หรือจะสร้างสันติภาพกันแน่
ในประเด็นแรกที่ สหรัฐอเมริกา กับอิหร่าน เผชิญหน้ากันแบบนี้ ก็เพราะต่างเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาร่วม 40 กว่าปี โดยมีหลายสาเหตุ ได้แก่
1) ตั้งแต่อิหร่านเกิดการปฏิวัติสังคม โดยฝ่ายศาสนานิยม (อิสลามนิกายชีอะห์) ทำการล้มล้างระบอบราชาธิปไตย (ราชวงศ์ชาห์) ลงได้ และเริ่มสถาปนารัฐศาสนานิยม คือให้ผู้นำทางศาสนาควบเป็นประมุขสูงสุดของประเทศด้วย และประเทศมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการใช้ศาสนาเป็นตัวชี้นำ และครอบงำ ซึ่งรัฐศาสนานิยมนั้นอยู่ตรงกันข้ามกับอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยของฝ่ายสหรัฐอเมริกา และฝ่ายตะวันตกนอกจากจะเสียอิทธิพลในภูมิภาค จากการสูญเสียพันธมิตรที่สำคัญไปในตะวันออก และเอเชียกลางแล้ว ยังเป็นการเสียหน้า และเสียรังวัดไปมากโข
2) รัฐบาลชุดปัจจุบันของอิหร่าน ได้ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน ทั้งในแง่อุดมการณ์ และการแข่งขันเสริมสร้างเขตอิทธิพล และยังคงส่งออกแนวคิดรัฐศาสนานิยม ที่สหรัฐอเมริกามองว่า เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้
3) รัฐบาลศาสนานำพาของอิหร่าน มีจุดยืนที่ชัดเจน ในการที่จะขจัดอิสราเอลออกไปจากแผนที่โลก ซึ่งอิสราเอลนั้นถือเป็นพันธมิตร และรัฐด่านหน้าของสหรัฐฯ และฝ่ายตะวันตกในตะวันออกกลาง นอกจากนั้น นโยบายของรัฐบาลอิหร่านนี้ยังเป็นการขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และหลักการเคารพในความเป็นเพื่อนมนุษย์ต่อกันและกันที่สหรัฐฯ ยึดถือ จึงต้องสนับสนุนทุกวิถีทางให้อิสราเอลสามารถอยู่รอด เพื่อยันอิทธิพลโลกมุสลิมในตะวันออกกลาง
4) อิหร่านนั้นดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในการขจัดอิทธิพลของสหรัฐอเมริกา และฝ่ายตะวันตก ออกไปจากตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นการคุกคามฝ่ายพันธมิตรของสหรัฐฯ ได้แก่ อิสราเอล และซาอุดีอาระเบีย ไปจนถึงการเป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญของการสนับสนุนของการเมืองที่มีอุดมการณ์ตรงกันข้ามกับฝ่ายตะวันตก ที่สนับสนุนการก่อการร้ายสากล หรือการถือหางฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายพันธมิตรสหรัฐฯ ในสงครามกลางเมือง เช่นที่ ซีเรีย และเยเมน เป็นต้น
5) ที่เป็นเรื่องคาใจสหรัฐฯ ก็คือ การที่กลุ่มนิสิต นักศึกษาหัวรุนแรงโดยการรู้เห็นเป็นใจของรัฐบาลศาสนานำพา ได้เข้ายึดสถานทูตสหรัฐฯ เป็นเวลา 444 วัน ระหว่างนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี คาร์เตอร์ ก็ตัดสินใจส่งกองกำลังเข้าไปยังอิหร่าน เพื่อนำพาออกมาแต่การดำเนินการล้มเหลวจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก ก็ต้องยกเลิกไป แต่เหตุการณ์ก็คลี่คลายเมื่อเกิดสงครามอิรัก-อิหร่าน อิหร่านจึงขอเจรจากับสหรัฐฯ โดยมีประเทศแอลจีเรียเป็นตัวกลาง จนสำเร็จไปด้วยดี ทั้งนี้มีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลบหนีออกมาได้ 6 คน ไปแอบพักตัวอยู่ที่สถานทูตแคนาดา และหนีออกมาได้ แล้วเรื่องราวก็มีการจัดทำเป็นภาพยนตร์โด่งดังชื่อ อาร์โก (Argo)
6) อิหร่านนั้นใช้รายได้จากการส่งออกน้ำมัน ไปใช้ในการแอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงว่าด้วย การห้าม
เผยแพร่อาวุธนิวเคลียร์
บัดนี้ อิหร่านจึงถูกสหรัฐอเมริกาโดยผู้นำคนใหม่ คือ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บีบคั้น และเอาจริงเอาจังหนักขึ้น โดยเฉพาะมาตรการคว่ำบาตรต่างๆ ที่รวมไปถึง มิให้ประเทศอื่นใดค้าขายกับอิหร่านด้วย
ในสถานการณ์นี้ เมื่อดูพละกำลังของแต่ละฝ่ายแล้ว ฝ่ายอิหร่านเป็นรองฝ่ายสหรัฐฯ มากๆ เรียกว่า เทียบกันไม่ได้เลย นอกจากถูกคว่ำบาตรแล้ว ราคาน้ำมันก็ตกต่ำลง เศรษฐกิจภายในของอิหร่านถดถอย ความไม่พึงพอใจของผู้คนทวีคูณ แถมฝ่ายหัวก้าวหน้าของอิหร่านก็ฝังตัวรอโอกาสที่จะล้มรัฐบาลศาสนานิยมอยู่ จัดได้ว่าอิหร่านสู้รบปรบมือกับสหรัฐฯ ไม่ได้ แต่สิ่งที่อิหร่านมีอยู่ในมือก็คือ
1) ใช้กำลังทหารทั้งหลายโจมตีอิสราเอลแบบหมดหน้าตัก
2) จมเรือปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซ เพื่อมิให้เรือบรรทุกน้ำมันเข้าออกระหว่างอ่าวเปอร์เซีย กับอ่าวอาหรับ และมหาสมุทรอินเดีย เพื่อให้ตลาดน้ำมันโลกปั่นป่วนไปจนถึงศรษฐกิจโลกด้วย
3) โหมการก่อการร้ายสากลไปทั่วโลก
ประเด็นคือ ผู้นำอิหร่านจะกล้าทำหรือไม่ และจะทำได้หรือไม่ อีกทั้งจะอยู่โดดเดี่ยวได้ต่อไปหรือไม่ ในเมื่อเกาหลีเหนือ รัสเซีย จีน ก็พบปะพูดคุยกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ หมดแล้ว เป็นการบ่งบอกว่า โต๊ะเจรจาเท่านั้นเป็นทางออกที่ดีที่สุด และที่สำคัญอำนาจต่อรองของอิหร่านดูมีจำกัดมาก
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี