การเมืองในระบอบประชาธิปไตย หรือแม้แต่ในระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ จะมีเสรีภาพ หรือเจริญรุ่งเรืองมิได้เลยหากปราศจากระบบพรรคการเมือง แต่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจที่ในช่วงต้นของประวัติศาสตร์ของอังกฤษหรือของสหรัฐอเมริกา ผู้คนผู้มีการศึกษาดีกลับมีทัศนคติต่อพรรคการเมืองในเชิงลบ
ลอร์ดโบลิงโบรก (Bolinkbroke) ขุนนางอังกฤษต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 กล่าวไว้ว่า พรรคการเมืองคือผลพวงอันเป็นพิษจากการใช้เครื่องมือสาธารณะ เพื่อบำบัดอารมณ์ ความรู้สึก และความทะยานอยากส่วนบุคคล ขณะที่เจมส์ เมดิสัน (Madison) ซึ่งเป็นนักคิดคนสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญสหรัฐ ค.ศ. 1787 ก็มองการจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นเรื่องลบ และในอีกศตวรรษต่อมา เจมส์ ไบรซ์(Bryce) ชาวอังกฤษ ก็สรุปความเห็นไว้ว่า ระบบพรรคการเมืองของสหรัฐอเมริกามักกีดกันคนดีและสนับสนุนคนชั่ว บิดเบือนเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชน
ทัศนคติดังกล่าวน่าจะมีส่วนถูกและส่วนผิด ขึ้นอยู่กับสังคมการเมืองของแต่ละประเทศ หรือยุคสมัย ในสังคมไทย เราก็คงได้เห็นนักการเมืองบางคนที่อาจฉลาดหลักแหลม แต่อาจแฝงความคิดฉ้อฉลได้ใช้ระบบพรรคการเมืองที่ค่อนข้างอ่อนแอของสังคมการเมืองไทย เพื่อจุดประสงค์บางประการที่นำไปสู่ระบบการทุจริตคอร์รัปชั่น และความหายนะทางการเงิน-การคลังของประเทศ
ในสังคมอังกฤษ ศตวรรษที่ 18-19 พรรคทอรี่ (Tory) คือพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม ปกป้องผลประโยชน์ของขุนนาง เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และศาสนาคริสต์นิกายแองกลิคัน ขณะที่พรรคลิเบอรัล (Liberals) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จะนิยมระบบการค้าที่เสรี การเมืองแบบเสรีนิยม และผลประโยชน์ของชนชั้นกลาง
ส่วนในสหรัฐอเมริกา พรรคการเมืองรุ่นแรก ได้แก่ พรรคเฟดเดอรัลลิส (Federalists) หรือในสมัยต่อมามักเรียกว่าพรรควิคส์(Whigs) จะมุ่งสร้างความเข้มแข็งและอำนาจส่วนกลาง (ระดับสหพันธรัฐ) เช่น การคลัง การธนาคาร การคมนาคมขนส่ง การปกป้องประเทศ ขณะที่พรรคเดโมแครต (Democrat) สะท้อนความคิดของเจฟเฟอร์สัน แห่งมลรัฐเวอร์จิเนีย และภาคใต้ทั้งหลาย ที่ต้องการให้แต่ละมลรัฐปกครองตนเอง มีสิทธิเสรีภาพ ลดอำนาจส่วนกลาง
ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 พรรควิคส์ จึงมักจะได้เสียงสนับสนุนจากชาวเมือง (และภาคอุตสาหกรรม) ในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะที่ภาคใต้ มักสนับสนุนพรรคเดโมแครต
ต่อมา ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปัญหาเรื่องทาสได้ปะทุขึ้น เกิดการขัดแย้งกันทางความคิด/อุดมการณ์ และผลประโยชน์ระหว่างผู้สนับสนุนระบบทาส กับกลุ่มผู้ต้องการลดจำนวนทาสหรือขจัดไปในที่สุด การขัดแย้งจะรุนแรงมากขึ้นทุกครั้งที่มีประเด็นการจัดตั้ง “มลรัฐ” ใหม่ๆ ในภาคตะวันตก เช่น มิสซูรี แคนซัส และเนบราสก้า เป็นต้น ว่าจะให้มีทาสได้หรือไม่ และมีผลกระทบต่อพรรคการเมือง โดยพรรควิคส์ก็แตกกันเป็น 2 พรรค คือ วิคส์ที่ยังสนับสนุนทาส และวิคส์ที่ไม่สนับสนุนระบบทาส จึงได้จัดตั้งเป็นพรรครีพับลิกัน(Republican) ขณะที่พรรคเดโมแครตก็แตกแยกเป็นพรรคเดโมแครตภาคใต้ ที่สนับสนุนระบบทาส และเดโมแครตภาคเหนือที่ไม่สนับสนุนระบบทาส จึงมาเข้าร่วมกับพรรครีพับลิกันที่ต่อต้านระบบทาส
โดยสรุป พรรคการเมืองในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เป็นช่องทางของการรวมกลุ่มและแยกกลุ่มผลประโยชน์และอุดมการณ์-ความคิดของประชาชนในสังคมอังกฤษและสหรัฐฯ และน่าจะเป็นแบบอย่างให้แก่สังคมอื่นๆ เช่นกัน
การจัดระเบียบทางสังคม-การเมือง ตามแนวทางของระบบพรรค จึงเป็นวิธีการที่ลด/ขจัด ระบบการเมืองที่ยึดผลประโยชน์ส่วนตนของผู้เล่นการเมืองแต่ละคนเป็นหลัก ระบบพรรคช่วยให้การต่อสู้/ขัดแย้งทางการเมืองมีรูปแบบที่พยากรณ์ได้ ไม่สะเปะสะปะตามอำเภอใจของผู้หนึ่งผู้ใด
สังคมไทย จะมีวิธีการพัฒนาระบบพรรคให้สะท้อนอุดมการณ์ ความคิด และผลประโยชน์ของกลุ่มประชาชนได้อย่างไร เมื่อประชาชนนึกถึงพรรค ก พรรค ข หรือ พรรค ค ก็สามารถมองเห็นอุดมการณ์-ความคิด-และเป็นตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ที่ค่อนข้างแตกต่างกัน มิใช่ว่ามองเห็นทุกพรรค ก็แทบจะตาลายไปเสียหมด นึกได้เฉพาะตัวหัวหน้าพรรค ซึ่งอาจจะผันแปร เปลี่ยนแปลงไปได้อยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม จะพูดว่าเมืองไทยสะเปะสะปะจนมองภาพไม่ออกเสียทีเดียวก็คงไม่ถูกต้องเช่นกัน ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เคยเขียนหนังสือเรื่อง “สองนครา ประชาธิปไตย” และสรุปเป็นภาพกว้างๆ ไว้ว่า ชนบทตั้งรัฐบาล แต่กรุงเทพฯ ล้มรัฐบาล ซึ่งก็กลายเป็นข้อสังเกตที่ค่อนข้างติดตลาด ในยุคทักษิณ ชินวัตร สมัยสอง อาจกล่าวได้หรือไม่ว่า “ภาคอีสานจัดตั้งรัฐบาล แต่กรุงเทพฯ และภาคใต้ล้มรัฐบาล”
ที่กล่าวมานี้ ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าการเมืองไม่ว่าจะดูสับสนปานใด ก็ย่อมมีรูปแบบที่พอจะสังเกตเห็น และยึดถือได้บ้างในระดับหนึ่ง นอกจากนั้น เหตุการณ์การต่อสู้อันรุนแรงบนท้องถนน และบนเวทีตามจัตุรัสต่างๆ รวมทั้งสวนสาธารณะในทศวรรษที่ 2550’s ย่อมชี้ให้เห็นว่าพลังมวลชนในเมืองหลวง และตามตัวจังหวัดต่างๆ ในภูมิภาค ตลอดจนพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังธรรม คือ ฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ-ทุนนิยมผูกขาด ซึ่งมี นปช. และชาวชนบทสนับสนุน
เส้นทางของวิวัฒนาการของพรรคการเมือง จึงควรดำเนินไปตามพื้นฐานของพลังเศรษฐกิจ-สังคม โดยมีการสร้างพันธมิตรระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ที่ไม่มีปัญหาการขัดแย้งทางอุดมการณ์รุนแรง พันธมิตรที่ว่านี้ อาจรวมหมายถึงพันธมิตรในยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง ซึ่งหากเป็นระบบแบบฝรั่งเศส ที่อนุญาตให้มีการลงคะแนนครั้งที่สอง (2nd Balloting) เมื่อไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่อย่างเด็ดขาด ก็จะเปิดโอกาสให้พรรคพันธมิตรถอนตัว เปิดทางให้พรรคที่ได้คะแนนอันดับต้น ได้เข้าสู่การเลือกตั้งครั้งที่สอง โดยพึ่งพาคะแนนจากพรรคพันธมิตร ซึ่งอาจจะเทคะแนนให้ ระบบการลงคะแนนครั้งที่สอง หรือ “2nd Balloting” ของฝรั่งเศส จึงมีบทบาทช่วยให้จำนวนพรรคการเมืองในสภาลดลง
ศิลปะแห่งการรวมตัว หรือร่วมมือร่วมใจ นัยหนึ่งการสร้างพันธมิตรเป็นศิลปะที่สำคัญยิ่ง แต่นักการเมืองไทยในอดีตมักจะไม่ใช้วิธีสร้างพันธมิตรในกระบวนการเลือกตั้งด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง และขาดทักษะการเจรจาต่อรอง ขณะที่ในประเทศเพื่อนบ้านของเรามักได้ยินได้ฟังเรื่องพันธมิตรของกลุ่มการเมืองต่างๆ
สำหรับท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือใครก็ตามที่จะได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 คงจะได้คิดวางแผนไว้แล้วว่า จะจัดตั้งรัฐบาลผสมได้อย่างไร และประกอบด้วยพรรคใด คงไม่มีพรรคหนึ่งพรรคใดได้เสียงส่วนใหญ่โดยเด็ดขาด และหากได้วางแผนไว้บ้างแล้ว ยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง ก็คงจะสะท้อนเป้าหมายดังกล่าว
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี