ข้อตกลงว่าด้วยแผนปฏิบัติการแบบสมบูรณ์แบบ (Comprehensive Plan of Action Agreement) ระหว่างอิหร่าน กับสหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี เป็นข้อตกลงที่แลกเปลี่ยน ระหว่างการผ่อนปรนให้การพัฒนาแร่ยูเรเนียมของอิหร่านสามารถกระทำได้ หากแต่ต้องอยู่ในระดับพลังงานปรมาณูเพื่อสันติเท่านั้น (หรือนัยหนึ่ง คือไม่อนุญาตให้พัฒนาไปจนถึงระดับที่จะสามารถนำไปสู่การผลิตอาวุธนิวเคลียร์) กับการยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน จาก 6 ประเทศดังกล่าว โดยหมายรวมไปถึงประชาคมโลกทั้งหมดด้วย
ข้อตกลงดังกล่าว เริ่มเมื่อปี ค.ศ. 2015 และมีอายุความเพียงแค่ 10 ปี โดยระหว่างนั้น อิหร่านต้องยินยอมเปิดทางให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ในสังกัดขององค์การสหประชาชาติ เข้าไปทำการตรวจสอบได้อย่างไร้ข้อแม้ เพื่อให้ประชาคมโลกแน่ใจได้ว่า อิหร่านจะปฏิบัติตามพันธะสัญญา
แต่บัดนี้ ในปีที่ 4 ของข้อตกลง สหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับออกมาประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้ (ซึ่งถือเป็นการล้มเลิกและล้มล้างผลงานของประธานาธิบดี บารัค โอบามา) ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นข้อตกลงที่ไม่ดี ใช้ไม่ได้ ซึ่งแปลความได้ว่า เป็นข้อตกลงที่ขาดความมั่นคง ด้วยเป็นเพียงแค่มาตรการชั่วคราว ไม่มีความเด็ดขาด ชัดเจน ที่จะให้อิหร่านยุติการคิดอ่านและกระทำการที่จะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อีกทั้งข้อตกลงดังกล่าว ยังไม่ได้คลอบคลุมถึงเรื่องการพัฒนาจรวดขีปนาวุธ รวมทั้งการบังคับให้อิหร่านต้องยุติการสนับสนุน ขบวนการก่อการร้ายสากล และขบวนการหัวรุนแรงสุดโต่งทางศาสนาด้วย
เหตุผลข้ออ้างของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะฟังขึ้นหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ใครจะวิพากษ์วิจารณ์กันไป หรือจะไม่เห็นด้วยก็ตามที แต่ที่ยังแน่นอนก็คือ อีก 5 ประเทศนั้น ยังคงจะรักษาข้อตกลงกับอิหร่าน เพราะต่างเล็งเห็นคุณค่า และประโยชน์ จากผลหลังการมีข้อตกลง นั่นคือ อิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไขจริง และการค้าขายก็กลับมาคึกคักจากก่อนหน้านี้
ซึ่งเมื่อสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกมา ก็หมายถึงการกลับมาคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้ง และเริ่มกระทำทันที ผ่านการประกาศมาตรการคว่ำบาตร โดยคำสั่งประธานาธิบดี ซึ่งมีผลบังคับใช้เยี่ยงกฎหมายไปเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้ การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า และกิจการการเงินใดๆ ระหว่างหน่วยงานรัฐ และเอกชนใดๆ กับอิหร่าน จักต้องยุติทันที และยังจะมีคำสั่งคว่ำบาตรชุดต่อไป ตามมาในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้
นัยสำคัญของคำสั่งประธานาธิบดี หรือกฎหมายอื่นใดของสหรัฐอเมริกานั้น เมื่อมีการคว่ำบาตรกับคู่กรณี (ซึ่งในกรณีนี้คือ อิหร่าน) มิได้เป็นเพียงเรื่องระหว่าง 2 ประเทศเท่านั้น หากแต่จะครอบคลุมไปยังทุกประเทศ หรือนัยหนึ่งกฎหมายของสหรัฐฯ นั้น มีอำนาจนอกอาณาเขต (Extra-Territorial) ด้วย ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลและบริษัทเอกชนใดๆ ทั้งของสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ทุกประเทศทั่วโลก ก็จะทำมาค้าขายกับอิหร่านอีกต่อไปมิได้
ดังนั้น โลกจึงเกิดคำถามว่า แล้วจะมีประเทศใด บริษัทใด ที่กล้าจะสวนทางกับนโยบายคว่ำบาตรครั้งนี้ของสหรัฐอเมริกาหรือไม่?
คำตอบในตอนนี้ ก็คือ คงไม่มี และคงไม่มีใครกล้าเนื่องจากในเวทีโลก สหรัฐอเมริกานั้นยังมีอำนาจต่อรองมหาศาลทั้งเป็นตลาดใหญ่ เป็นผู้ลงทุน เป็นเจ้าของเทคโนโลยี และเป็นเจ้าของเงินสกุลดอลลาร์ หรือเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นเสมือนเงินตรากลางของโลก ดังนั้น ผู้ใดที่อาจหาญไปยุ่งเกี่ยวทำมาหากินกับอิหร่านในวันนี้ ก็จะต้องถูกสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรรวมไปด้วย
ก็แน่นอนว่า ประเทศที่ถูกผลกระทบสุดๆ จากกรณีนี้ คงหนีไม่พ้น อิหร่าน เพราะจะไปทำมาค้าขายกับผู้ใดมิได้อีกโดยกลุ่มประเทศที่จะโดนผลกระทบรองลงมาคือ กลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ที่มีธุรกิจพลังงานและกองเรือบินพาณิชย์กับอิหร่าน เป็นต้น
นอกจากนั้น เศรษฐกิจหลัก หรือชีวิตทางเศรษฐกิจของอิหร่านนั้น ขึ้นอยู่กับการผลิต และส่งออกน้ำมัน หากขายน้ำมันให้ต่างชาติไม่ได้ ก็เสมือนขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจ
(อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้ หน้า 4)
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี