นั่นจึงทำให้อิหร่านต้องออกมาข่มขู่เชิงต่อรองว่า จะทำการจมเรือปิดช่องแคบฮอร์มุซ ที่เชื่อมอ่าวเปอร์เซีย กับอ่าวอาระเบียและมหาสมุทรอินเดีย (ซึ่งเป็นเส้นทางเข้า-ออกของเรือบรรทุกน้ำมันและก๊าส ที่สำคัญที่สุดของโลกก็ว่าได้) โดยอิหร่านจะทำได้จริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้กันเพราะกองเรือรบ และกำลังทางอากาศของสหรัฐฯ รวมถึงพันธมิตร เช่น ซาอุดอาระเบีย ต่างก็กระจายตัวกันเตรียมรับมือกันอยู่กันเต็มที่ ซึ่งคงไม่ปล่อยให้อิหร่าน ได้กระทำการโดยสะดวกตามที่ประกาศ
อย่างไรก็ดี การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ นั้น เล็งผลไปที่อิหร่านก็จริง แต่มันส่งผลกระทบให้คู่ค้าหลักของอิหร่าน ที่เป็นคู่สัญญาข้อตกลงบอนไซการพัฒนาแร่ยูเรเนียม ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนั้นยังอาจจะดึงให้ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางเจ็บตัวกันถ้วนหน้าจากความขัดแย้งที่จะตามมา
ทางออกเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการเจรจา ซึ่งก็หมายถึง การยกเลิกข้อตกลงที่มีอยู่ดังกล่าวทิ้ง แล้วเดินหน้าเริ่มต้นเจรจาข้อตกลงกันใหม่ทั้งหมด โดยจะเป็นการเจรจาแค่ทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านเพียงสองฝ่าย ซึ่งอาจจะดำเนินการควบคู่ไปกับระดับพหุภาคีไปด้วย โดยมุ่งแก้ไขข้อตกลง ให้เป็นไปตามความต้องการของฝ่ายสหรัฐฯ เป็นสำคัญ
นั่นก็เพราะ วิเคราะห์ดูกันรอบด้านแล้ว อิหร่านนั้นมีข้อจำกัด หรืออำนาจต่อรองต่ำ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เอาจริงและมุ่งมั่นถึงขนาดนี้ ถ้าอิหร่านเลือกจะเผชิญหน้า ท้าตีท้าต่อยท้ารบด้วย ก็คงได้ไม่คุ้มเสีย
ถึงจุดนี้ ดูๆ แล้วผู้นำอิหร่านคงไม่มีทางเลือก คงต้องยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจา ซึ่งหมายความว่า ต้องยอมตามความต้องการของสหรัฐฯ ด้วยการยกเลิกความทะเยอทะยานที่จะเป็นประเทศผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงต้องยุติการส่งเสริม สนับสนุน ขบวนการสุดโต่งหัวรุนแรง และการก่อการร้ายสากล อันหมายถึง ยุติการคุกคามอิสราเอล และซาอุดีอาระเบีย และหยุดการส่งออกลัทธิรัฐศาสนานิยม หรืออุดมการณ์การเมืองเทวนิยม
ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตาม ที่รัฐบาลอิหร่านยินยอมดังกล่าว ก็จะส่งผลให้กลุ่มผู้นำอิหร่านเสียรังวัดภายในประเทศ และเสียความนิยมไปให้กับฝ่ายสายกลาง (Moderate) ในพวกศาสนานิยมด้วยกัน และฝ่ายหัวก้าวหน้า (Progressive)
แต่ท้ายที่สุดแล้ว เศรษฐกิจโดยรวมของอิหร่านจะดีขึ้น เนื่องจากไม่ต้องเผชิญกับการคว่ำบาตรจากนานาชาติ
แต่ในทางตรงกันข้าม หากรัฐบาลอิหร่าน เลือกที่จะแข็งขืน ปฏิเสธการเจรจา ประเทศก็ต้องเผชิญกับการคว่ำบาตรจากนานาชาติ ซึ่งจะส่งผลให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะข้าวยากหมากแพงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ความไม่พอใจจากประชาชนก็จะระเบิดเป็นการประท้วงก่อหวอด ทำให้สังคม และบ้านเมืองระส่ำระสาย ไร้เสถียรภาพ โดยอาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองในที่สุด ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลปัจจุบันของอิหร่านอยู่ดี
ในทางเดียวกัน ประเทศคู่สัญญาข้อตกลงดังกล่าว ที่กำลังเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรทางอ้อมจากสหรัฐฯ หากยังคิดจะทำธุรกิจกับอิหร่านต่อไป ก็ควรได้เริ่มดำเนินการทางการทูตโน้มน้าวอิหร่านให้เริ่มปรับเปลี่ยนท่าที เพราะหากตกลงกันได้แล้ว ก็จะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน จากการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกา
ในวันนี้ วันที่โลกเล็กลง แต่หมุนเร็วขึ้นจากเทคโนโลยีสื่อสาร ผู้นำอิหร่านจักต้องคิดให้ดีว่า จะเลือกอยู่แบบ “ข้ามาคนเดียว” ท้าทายประชาคมโลกอย่างที่ผ่านๆ มา หรือจะเลือกกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก โดยเฉพาะ เมื่อลัทธิรัฐศาสนานิยมนั้น เป็นที่หวาดหวั่นจากสังคมโลก เพราะมันสวนทางกับหลักสากล ที่ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนต่างๆ
นอกจากนั้น ก็ควรได้ถามประชาชนชาวอิหร่านของตนว่า ต้องการมีสิทธิเสรีภาพ และต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี จากการเชื่อมระบบเศรษฐกิจของอิหร่านเข้ากับสังคมโลกหรือไม่
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี