หนึ่งในหัวข้ออภิปรายถกเถียงที่ติดอันดับต้นๆ ของโลก มาตั้งแต่สมัยโบราณก็คือ ควรอนุญาตให้ทำแท้งได้หรือไม่?
โดยศาสนาต่างๆ นั้น มักจะมีข้อห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือเอาชีวิตของมนุษย์ผู้อื่น บ้างก็ใช้เหตุผลทางศีลธรรม บ้างก็ด้วยเหตุผลว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ ทุกคนจึงเป็น “ลูก”
ของพระเจ้า ฉะนั้น มนุษย์จึงไม่มีสิทธิ์จะไปเป็นเจ้าของชีวิตของผู้อื่น และไม่มีสิทธิ์ที่จะทำร้าย หรือเอาชีวิตของผู้อื่นได้ นอกจากนั้นก็ยังมีหลักคิดหลักสั่งสอนเพิ่มเติมว่า มนุษย์ต้องไม่พึงเบียดเบียนกัน และไม่ละเมิดต่อกันและกัน หรือไม่ไปกระทำกรรมต่อกัน ฉะนั้น การทำแท้งจากมุมมองของศาสนา และความเชื่อต่างๆ เรื่องการทำแท้งจึงเป็นสิ่งที่จะกระทำไม่ได้ เพราะถือเป็นการผิดคำสั่งสอนและศีลธรรมจากการละเมิดชีวิตของผู้อื่น คือทารกในครรภ์มารดา
นอกจากนั้น ในบางศาสนา เช่น ศาสนาคริสต์ (นิกายโรมันคาทอลิก) ศาสนาคริสต์ (นิกายโปแตสแตนท์ บางนิกาย) และศาสนาอิสลาม ได้ขยายความครอบคลุมไปถึงการห้ามมิให้มีการคุมกำเนิดอีกด้วย ด้วยว่าไม่ควรมีผู้ใดที่จะไป “ห้ามการเกิด ห้ามการมีชีวิต”
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อมนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันก็จะต้องมีกติกากลาง หรือมีมนุษย์ด้วยกันมาคอยกำกับ ควบคุม โดยสังคมทั่วไปนั้น เดิมมักใช้หลักศาสนา มาเป็นพื้นฐานของกฎหมายปกครองบ้านเมือง และปัจจุบันนี้ยังมีอยู่บ้าง บางสังคมก็ไม่มีการแยกขาด ระหว่างกฎหมายปกครองบ้านเมือง (เป็นเรื่องทางกาย) กับระบบความเชื่อถือ (ทางใจ) อาจเรียกได้ว่าเป็น ระบอบรัฐศาสนานำพา
ตัวอย่างที่ว่าก็คือ อิหร่าน และทิเบต (แม้ว่าจะถูกจีนคอมมิวนิสต์ครอบงำอยู่) และมีอีกหลายๆ ประเทศในโลกมุสลิมที่มีระบบกษัตริย์ หรือสุลต่าน หรือชีค ที่ตัวองค์ประมุขเหล่านี้เป็นผู้นำประเทศ และผู้นำทางศาสนาด้วย และการปกครองบ้านเมืองก็ใช้ตัวคำสั่งสอนทางศาสนาเป็นตัวนำ หรือเป็นหลัก ซึ่งในประเทศเหล่านี้ หัวข้อการอนุญาตให้ทำแท้ง ไม่จำเป็นต้องหยิบยกขึ้นมาพิจารณาแต่อย่างใด
แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ได้แยกเรื่องศาสนาออกจากเรื่องการบ้านการเมือง หรือการเมืองการปกครองไม่ขึ้นกับศาสนา (Secularism) แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นเรื่องการอนุญาตให้ทำแท้ง จึงกลายเป็นเรื่องของสังคมว่า จะกำหนดกฎหมายให้อนุญาต หรือห้ามการทำแท้ง ซึ่งการตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับประชาชนพลเมืองเป็นสำคัญ โดยประชาชนพลเมืองจะตัดสินใจอย่างไรกัน ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อถือในเรื่องศาสนา ความคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมในแง่หนึ่ง และในอีกแง่หนึ่งก็อยู่ที่พื้นฐานของความเข้าอกเข้าใจในเรื่องสิทธิมนุษยชน ผสมผสานคละเคล้ากันไป ก่อนจะถูกประมวลผล เพื่อการตัดสินใจ ซึ่งโดยวิธีทางตรงคือ การลงประชามติ และโดยทางอ้อมคือ ผ่านผู้แทนราษฎรในสภา
ในช่วงปีที่ผ่านมา ได้มีการลงคะแนนตัดสินใจในเรื่องการออกกฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้หรือไม่ อย่างน้อยใน 2 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ และสาธารณรัฐอาร์เจนตินา ซึ่งจัดได้ว่าเป็นประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก (มี โป๊ป หรือสันตะปาปาที่กรุงวาติกัน เป็นองค์ประมุข)
ในกรณีของไอร์แลนด์นั้นเป็นการลงประชามติ ผลปรากฏว่า คนส่วนใหญ่ เห็นชอบการแก้กฎหมายเพื่ออนุญาตให้ทำแท้งได้ ขณะที่อาร์เจนตินา เป็นการลงคะแนนกันในรัฐสภา โดยสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างกฎหมาย แต่วุฒิสภาไม่เห็นด้วย ร่างกฎหมายจึงเป็นอันว่าตกไป ทำให้วันนี้สตรีอาร์เจนตินาจะทำแท้งก็ต้องแอบทำ หรือไม่ก็ต้องเดินทางออกไปทำในต่างประเทศที่เขาอนุญาต
ในปัจจุบันความเข้มข้นของคำสั่งสอนทางศาสนา บวกกับความเชื่อถือตามประเพณีวัฒนธรรมเริ่มจืดจางลง และผู้คนเริ่มคิดอ่านไปในด้านเรื่องสิทธิเสรีภาพ หรือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเป็นสำคัญกันมากขึ้น ประเด็นโต้เถียงเรื่องการอนุญาตให้ทำแท้งหรือไม่ในสังคมส่วนมาก ณ วันนี้ จึงขยับไปที่ ฝ่ายหนึ่งมองว่า ทุกคน (รวมทั้งทารกในครรภ์มารดา) ย่อมมีสิทธิ์ที่จะได้มีชีวิตอยู่และเติบโต โดยหามีผู้ใดจะละเมิดสิทธิ์นี้ได้ (Pro Life)
ขณะที่ฝ่ายหนึ่งมองเรื่องสิทธิมนุษยชน ในมุมมองที่ว่า หากการได้มาซึ่งการตั้งครรภ์นั้นมีประเด็นปัญหาอันไม่พึงประสงค์ เช่น การถูกข่มขืน การมีเพศสัมพันธ์กับสายเลือดเดียวกัน หรือทางการแพทย์รู้ล่วงหน้าว่า ทารกในครรภ์จะพิการ สตรีผู้ตั้งครรภ์นั้น ควรจะมีสิทธิ์ที่จะเลือก (Pro Choice) ที่จะเก็บทารกในครรภ์ไว้ หรือจะทำลายทิ้งด้วยการทำแท้ง โดยคำนึงว่า ทารกที่ได้มามิได้มีความพึงประสงค์จะได้ หรือหากเก็บไว้ จะเป็นอันตรายต่อตัวมารดา หรือเก็บไว้จะพิการไปตลอดชีวิต
ซึ่งในหลายๆ ประเทศ ที่มีกฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้ ก็มักจะมีข้อกำหนดการทำแท้ง โดยเหตุผลที่จำเป็นต่างๆ ดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อกำหนดที่ว่า ทารกจะต้องมีอายุครรภ์ไม่เกิน 14 สัปดาห์ เป็นต้น
ในกรณีฝ่ายที่เห็นว่า ชีวิตสำคัญต้องรักษาไว้ (Pro Life) โดยไม่สนใจที่ไปที่มาของการตั้งครรภ์ ว่าจะไม่ดีงาม หรือจะทำให้ทารกพิการ หรือตัวมารดาจะได้รับอันตรายในการคลอด (ที่ต้องเลือกระหว่างการรักษาชีวิตมารดาไว้ แลกกับตัวทารกนั้น) ก็มีเรื่องที่ต้องถกเถียงกันต่อไปในประเด็นที่ว่า สังคม หรือกฎหมายบ้านเมือง จะรองรับอย่างไร กับการดูแลทารกหลังคลอดออกมา หรือก่อนนั้นระหว่างมีครรภ์ ทางมารดาจะได้รับการดูแลอย่างไร โดยการรักษาสภาพจิตใจ และการเสียสละ
แนวโน้มในโลกวันนี้ ก็ดูจะเอนเอียงไปในทิศทางของหลักคิด ว่าด้วยสิทธิในการเลือกที่จะทำแท้ง (Pro Choice) คือเอาเรื่องสิทธิของมนุษย์ ซึ่งในกรณีนี้คือ ตัวสตรีผู้ตั้งครรภ์เป็นตัวตั้ง เพราะเป็นเจ้าของเรื่อง เป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงแต่ผู้เดียว และในแง่การแพทย์ ทารกในครรภ์เมื่อยังมีอายุไม่ถึง 14 สัปดาห์ ก็ยังถือได้ว่า ความเป็นมนุษย์ยังไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นสิทธิของความเป็นมนุษย์ก็ยังไม่เกิดขึ้นทีเดียว ส่วนเรื่องบุญ-บาปก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลว่า จะคิดอ่านอย่างไร แต่รัฐ หรือกฎหมายบ้านเมืองไม่ควรห้ามทำแท้งเสียเลย ควรเปิดทางไว้ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการป้องกันกรณีการแพทย์ผิดกฎหมาย หรือการทำแท้งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งสะท้อนโลกแห่งความเป็นจริงว่า จะมีหรือไม่มีกฎหมายอนุญาตหรือไม่ ในสังคมก็จะมีการทำแท้งอยู่ดี หากไม่อนุญาตเลย จะเป็นการเสี่ยงมากกว่าหรือไม่
ประเด็นการอนุญาตให้ทำแท้งหรือไม่นี้ คงจะเป็นที่ถกเถียงกันไปอีกนาน
แต่โดยส่วนตัวผมเองมองว่า เมื่อรัฐจะต้องรองรับความเติบโตของสังคมด้วยการออกกฎหมาย ก็ควรเป็นกฎหมายที่สะท้อน และยอมรับความจริงของสังคม ซึ่งในกรณีนี้ การกำหนดกฏเกณฑ์ สภาวะความมากน้อยของการทำแท้ง (ไม่ใช่ใครอยากจะทำแท้งก็ทำได้เลย) รวมทั้งการบริหาร และบริการทางการแพทย์ และกำหนดกฎหมายว่าด้วยการดูแล และประคับประคองจิตใจ และการดำรงชีวิตของสตรี ผู้ประสบเคราะห์กรรม ต้องมาตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องชีวิตของผู้อื่น (ทารก) จะต้องมีการวางไว้อย่างรัดกุม มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ทำได้อย่างปลอดภัย และให้ความมั่นใจ
ก็น่าจะเป็นเส้นทางสายกลาง ให้สังคม ศาสนา และขนธรรมเนียมประเพณี สามารถก้าวไปด้วยกันได้ กับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของมนุษย์
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี