บรรยากาศทางการเมืองของประเทศในปัจจุบันในฐานะที่อยู่ในวงการรัฐศาสตร์และการเมือง ทั้งในฐานะที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมมาเป็นเวลากว่า 50 ปี มีชีวิตตั้งแต่การเมืองระบอบเผด็จการเต็มรูปในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม สองครั้ง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตลอดจนถึงสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร ต่อด้วยสมัยนายกฯพระราชทาน ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์
แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมก็ได้ติดตามเหตุการณ์ทางการเมืองของประเทศตลอดมา ผ่านยุคเผด็จการครองเมืองประชาธิปไตยฟันปลอมและประชาธิปไตยระยะสั้นมาแล้วจนถึงปัจจุบันที่ประเทศตกอยู่ในยุคเผด็จการเต็มรูปมายาวนานกว่า 4 ปี อีกครั้ง ในที่สุดองค์อธิปัตย์กำลังจะผ่อนคลายอำนาจด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญหรือกติกาในการบริหารประเทศโดยผ่อนคลายอำนาจเผด็จการในรูปแบบประชาธิปไตยฟันปลอม คือ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ กำหนดให้มีการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เปิดโอกาสให้มีตัวแทนของประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศภายใต้กติกาที่กำหนดและในทางปฏิบัติก็มีข่าวปรากฏว่า ผู้ที่เป็นตัวแทนของประชาชน คือ บางกลุ่มการเมืองออกลายเป็นลายพรางเพื่อให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบันสืบต่ออำนาจอีกต่อไป
ทั้งๆ ที่กติกา คือ รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2560 กำหนดให้องค์อธิปัตย์ในปัจจุบันมีพลังสนับสนุนถึง 250 คน อยู่แล้ว แต่อาจเป็นเพราะต้องการความมั่นใจในการที่จะรักษาอำนาจการปกครองอีกต่อไปจึงต้องการกำลังสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรให้ท่วมท้น โดยการสนับสนุนทางตรงหรือทางอ้อมให้กลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองที่ยังไม่เป็นไปตามกฎหมายแต่ใช้พฤติกรรมแบบศรีธนญชัยทั้งที่กลุ่มการเมืองนี้เป็นกลุ่มการเมืองที่อยู่ในกลุ่มหัวแถวของอดีตรัฐบาลที่เป็นต้นเหตุแห่งการปฏิวัติที่การรวมตัวของกลุ่มคนดังกล่าวกับกลุ่มลายพรางที่ขับไล่เข้าด้วยกันเพื่อสนับสนุนให้หัวหน้าคณะปฏิวัติได้มีอำนาจในการบริหารประเทศอีกต่อไปนั้น
ในฐานะที่ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองของประเทศมานานเกิดความกังวลว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีก เพราะรัฐบาลที่เกิดจากการปฏิวัติปกครองประเทศมานานถึงสี่ปีกว่านั้น มีผลงานที่สำคัญที่เป็นที่ยอมรับก็คือ การทำให้สังคมไทยสงบเรียบร้อย แต่ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมยังไม่ได้แก้ไขถึงรากแห่งปัญหา ได้แก่ ทางเศรษฐกิจซึ่งถ้าเปรียบกับการรักษาโรคเป็นเพียง“ยาแดงทาแผล” เท่านั้น
การแก้ปัญหาไม่ใช่ทำแบบสุภาษิตที่ว่า “ให้เบ็ดและเหยื่อไปตกปลาแต่กลับให้ปลาไปรับประทาน” เป็นต้น ส่วนด้านสังคมนั้น มาตรการที่รัฐบาลกระทำแทนที่จะเป็นนโยบาย “เฉลี่ยสุข” กับกลายเป็นสร้างนโยบาย “รวยกระจุก จนกระจาย” ทำให้เกิดสังคมชนชั้น นอกจากอำมาตยาธิปไตยที่ดำรงอยู่ในสังคมปัจจุบันอีกด้วย
สรุปรวมความว่า สภาพการเมืองไทยในอนาคตหลังเลือกตั้งใน พ.ศ. 2562 จะพัฒนาไปสู่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง คือ การปกครองประเทศได้พัฒนาไปสู่การเมืองของประเทศเป็นการเมืองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ได้ตามที่ประชาชนชาวไทยปรารถนาได้หรือไม่นั้น ยากที่จะคาดคะเน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าติดตามวิวัฒนาการทางการเมืองของประเทศที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจะพบว่า อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นจากสาเหตุที่คาดไม่ถึงได้เกิดมาแล้วหลายครั้งนับตั้งแน่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดระหว่างผู้มีอำนาจด้วยกันเองเป็นสำคัญ มิใช่เกิดจากประชาชนแต่ประการใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี