สำนักข่าวอัลจาซีรา เสนอรายงานพิเศษเรื่อง “ชะตากรรมของคนขับแท็กซี่ในมหานครนิวยอร์ก” ไว้น่าสนใจ สมควรให้นักการเมืองที่ยังไม่พัฒนา ล้าหลังฉุดรั้งประชาธิปไตยและไม่ใส่ใจการปฏิรูปประเทศไทย ได้นำมาพิจารณาว่าโลกก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว
อัลจาซีราพาดหัวข่าวว่า “ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกรกฎาคม ปีนี้ คนขับแท็กซี่ในมหานครนิวยอร์กฆ่าตัวตายไปแล้ว 6 ราย” และให้รายละเอียดนายนิกาโนว์ โอซิโช วัย 62 ปี ชาวอเมริกันเชื้อชาติโรมาเนีย มีอาชีพขับแท็กซี่ เป็นรายล่าสุดที่ฆ่าตัวตายเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา นายกราเบียล ลูกชายผู้ตาย กล่าวว่า พ่อของเขาที่เป็นโรคซึมเศร้าผูกคอตายในโรงจอดรถ มีจดหมาย
ลาตายสั้นๆว่า “อุตสาหกรรมแท็กซี่กำลังหายนะ..”
จดหมายลาตายของนายนิกาโนว์ สอดคล้องกันคนขับแท็กซี่ Medallions (ป้ายแท็กซี่ที่สำนักเทศมนตรีออกให้) ฆ่าตัวตาย 5 ราย ก่อนหน้า เพราะโรคซึมเศร้าจากความเครียดที่หารายได้ไม่พอใช้จ่าย รายได้แท็กซี่ในนิวยอร์กตกต่ำต่อเนื่อง ตั้งแต่บริษัทรถโดยสารฮูเบอร์และลิฟท์ เกิดขึ้นเมื่อปี 2554 ผู้โดยสารในเมืองใหญ่หันไปใช้บริการรถร่วมโดยสารของฮูเบอร์และลิฟท์มากขึ้นตามลำดับ จนถึงจุดที่ผู้ประกอบอาชีพแท็กซี่ Medallions 13,587 รายอยู่ในภาวะล้มละลาย
ตั้งแต่ 2557 เป็นต้นมาใช้บริการฮูเบอร์และลิฟท์ เพิ่มขึ้นจาก 8 เปอร์เซ็นต์ เป็น 70.5 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2560 ในเวลาเดียวกับคนใช้บริการแท็กซี่ลดลง 37.5 เปอร์เซ็นต์ในปี 2560 ลดลงตามลำดับในปี 2561 ทำให้ Medallions หรือป้ายแท็กซี่ ที่เคยมีราคาสูงถึง 1.2 ล้านยูเอสดอลลาร์ เมื่อปี 2556 ตกดิ่งลงมาเหลือ 250,000 ดอลลาร์ ในปี 2560 (ผู้ประกอบอาชีพแท็กซี่ เมื่อเลิกประกอบอาชีพสามารถนำป้ายแท็กซี่ (Medallions) ไปเซ้งต่อในราคาที่สูงกว่า หรือพอๆ กับที่ซื้อมา)
อู มินต์ โซว์ ชาวพม่าที่ได้สัญชาติอเมริกัน ซื้อ Medallions มาในราคา 700,000 ดอลลาร์ เมื่อสามปีก่อน และเมื่อ Medallions ราคาตกลงมาเหลือไม่ถึง 300,000 ดอลลาร์ เขาจึงฆ่าตัวตาย
ลาน ซิงซ์ ชาวอินเดียได้สัญชาติอเมริกัน กล่าวว่า คนขับแท็กซี่ Medallions หวังว่าเมื่อถึงเวลาเกษียณแล้วเซ้งต่อได้ในราคาที่แพงกว่าซื้อมา “แต่เมื่อมันตกต่ำลงอย่างนี้ เราไม่มีทางเลือกอื่นก็ต้องขับแท็กซี่จนตาย”
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอูเบอร์กับลิฟท์ เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการแท็กซี่ในนิวยอร์กฆ่าตัวตายไปแล้ว 6 ราย ในห้วงเวลาสิบเดือน ทำให้สำนักนายกเทศมนตรีต้องออก กม.จำกัดจำนวนอูเบอร์และลิฟท์ “เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้านายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ก ได้ลงนามกม. จำกัดจำนวนอูเบอร์ และลิฟท์ และลิมโมซีน ไว้หนึ่งปีระหว่างประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม และปรับปรุงประสิทธิภาพคนขับโดยสารเหล่านี้ ซึ่งมีอยู่ราว 100,000 คน” โฆษกนายกเทศมนตรีกล่าว
นำเรื่องนี้มาเล่าเพราะเห็นว่ากลุ่มสามมิตร กำลังเดินหน้าเสนอนโยบายแท็กซี่ประชารัฐ โดยให้รัฐบาลเป็นผู้ประกันเงินดาวน์ เพื่อให้คนขับแท็กซี่มีรถเป็นของตัวเอง โดยการผ่อนเงินดาวน์เพียงวันละ 600 บาท นโยบายแท็กซี่ประชารัฐ นอกจากย้อนแย้งกับสภาพเป็นจริงของคนขับแท็กซี่ ยังขัดกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันมีรถแท็กซี่วิ่งอยู่ในกรุงเทพฯมากถึง 90,000 คัน (ถ้านับรวมที่ทำป้ายทะเบียนซ้ำกันด้วยต้องมากกว่า 100,000 คัน)
เจ้าของรถแท็กซี่เขียวเหลืองคนหนึ่งเล่าว่า ค่าผ่อนรถเดือนละประมาณ 21,000 บาท 48 เดือน รวมเป็นเงินประมาณ 1,056,000 บาท ไม่รวมค่าทะเบียนและประกันภัย ดังนั้นนโยบายให้ผ่อนวันละ 600 บาท โดยรัฐประกันเงินดาวน์ไว้เป็นนโยบายที่ปฏิบัติไม่ได้ นอกจากแท็กซี่ประชารัฐ สามมิตรยังเสนอนโยบายโคล้านตัว ซึ่งเป็นนโยบายที่ใช้กับคนเฉพาะกลุ่มคนไทยมีกว่ายี่สิบล้านครัวเรือนทำไมมีแค่ล้านตัว ถ้าแจกให้เฉพาะหัวคะแนนก็ให้นึกความล้มเหลวในอดีต ที่เคยถูกเยาะเย้ยว่าเป็นวัวพลาสติก คือให้ไปแล้วไม่ออกลูก หลายรายนำไปขายโรงฆ่าสัตว์ นอกจากนั้น กลุ่มสามมิตรยังเสนอนโยบาย ขายข้าวนาปรังราคาไม่ต่ำกว่า 8 พันบาท
การกำหนดราคาข้าวนาปรังในราคาไม่ต่ำกว่า 8 พันบาท ไม่ปล่อยให้เป็นตามกลไกราคาตลาด คือการแทรกแซง เป็นการทำลายระบอบค้าข้าว กำหนดราคาแล้วใครซื้อ หรือรัฐบาลจะซื้อเองขายเองเหมือนที่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำให้ประเทศชาติเสียหายหลายแสนล้านบาท ที่ผู้เสนอนโยบายและผู้ปฏิบัติติดคุกติดตารางกันมาแล้วหลายราย นอกจากเสนอนโยบายที่ไม่พัฒนา กลุ่มสามมิตรยังเที่ยวรับปากช่วยเปลี่ยนบัตรคนมีรายได้น้อยให้เป็นเงินสด
หัวโจกกลุ่มสามมิตร ที่เคยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเมื่อคราวอยู่กับพรรคไทยรักไทย พยายามผลักดันเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งเคยเป็นคนใกล้ชิดนายทักษิณด้วยกัน และพยายามสร้างภาพให้สังคมเข้าใจว่าเป็นตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐ ที่ว่ากันว่าจะตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นฐานให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังเลือกตั้งต้นปีหน้า กลุ่มสามมิตรพยายามเคลื่อนไหวสร้างราคา จนชาวบ้านเรียกว่าเป็นพลังดูดตัวใหญ่ หรือไดโว แต่ถ้ามองการเมืองด้วยเป็นจริงอย่างเข้าใจ กลุ่มสามมิตรคือพลังดันที่คิดการวางแผนให้ได้เป็นตัวเลือกตัวหนึ่ง ที่อยู่แนวหน้าในบรรดากลุ่มการเมืองมากหน้าหลายเสนอหน้าว่าเป็นกลุ่มสนับสนุนพลเอกประยุทธ์
กลุ่มสามมิตร ไม่ใช้นักการเมืองหัวก้าวหน้า แต่เป็นกลุ่มล้าหลังที่ฉุดรั้งการพัฒนาและปฏิรูปประเทศ เพราะบรรดานักการเมืองปลายแถวที่กลุ่มสามมิตรไปชักชวนมาเป็นพวก ยังไม่อาจสลัดความเป็นไพร่ ไม่อาจตัดใจจากนายใหญ่ได้ บางคนรำพึงว่าทักษิณยังอยู่ในใจ แต่ถึงเวลาเสื้อแดงต้องมาหากิน แสดงว่าที่เข้ามาร่วมกับสามมิตรคือเข้ามาทำมาหากิน บางคนถึงประกาศยอมตายถ้าให้ด่านายทักษิณ บางคนก่อน 22 พ.ค. 2557 ยังเป็นแกนนำกองกำลังติดอาวุธ คิดแบ่งแยกประเทศ เป็นไทยเหนือ ไทยใต้ ไทยอีสาน ล้านนา เคยปล้นปืนทหารเคยจาบจ้วงป๋าอย่างไม่น่าให้อภัย วันนี้แปรพักตร์กลับหน้ามาร่วมกับกลุ่มสามมิตร เพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ ที่เคยอาฆาตมาดร้ายไว้ก่อนยึดอำนาจ
พลเอกประยุทธ์มีลูกเล่นกลยุทธ์แพรวพราว มีกลุ่มการเมืองที่มีศักยภาพให้การสนับสนุนหลากหลาย ที่มองข้ามไม่ได้คือ กลุ่ม 16 กลุ่มการเมืองที่มีอิทธิพลสูงในพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเครือข่ายโยงใยไปถึงกลุ่มสนามบินน้ำ กลุ่มชลบุรี วังน้ำเย็น นครปฐม ราชบุรี ฯลฯ แกนนำกลุ่มนี้ยังประสานงานกันได้กับกำนันเมืองหอยใหญ่ ในห้วงเวลาสามทศวรรษที่ผ่านมากลุ่ม 16 มีบทบาทสำคัญในการล้มรัฐบาลมาแล้ว 3 ครั้ง และมีบทบาทจัดตั้งรัฐบาลมาแล้วสี่รัฐบาล
มองตามสภาพความเป็นจริง จะพบว่าพรรคเพื่อแม้วกำลังล่มสลาย อดีตสส.หมดสิทธิ์ทางการเมืองเพราะศาลตัดสินจำคุกในความผิดคอร์รัปชั่น ละเมิดกม.อาญา มาตรา 112 ความผิดทำลายการประชุมอาเซียนซัมมิต และความผิดอื่นๆ ที่มีโทษจำคุกเกินหนึ่งปี รวมทั้งหมด 28 คน อยู่ระหว่างรอศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา 7 คน อย่างน้อยที่สุด อดีตสส.หมดสิทธิ์ทางการเมืองแน่นอนแล้ว 35 คน นอกจากนั้นมีอดีตสส. ตลอดถึง ครม. ทั้งคณะถูก ป.ป.ช. ตรวจสอบในความผิดปลอมรัฐธรรมนูญ 40 คนและถูกตรวจสอบคุณสมบัติอย่างน้อย 27 คน สรุปคืออดีต สส.อาจหมดสิทธิ์ลงเลือกตั้งนับร้อยคน ถ้านับรวมกับอดีตสส.เกรดเอที่เตรียมย้ายไปพรรคอื่นไม่น้อยกว่า 30 คน ซึ่งแม้แต่กลุ่มวังน้ำเย็น ก็เตรียมตัวย้ายมาซบค่ายกลุ่ม 16 ทั้งหมด ชะตากรรมของพรรคเพื่อไทยจึงเหมือนกับที่หม่อมเต่าพูดว่า “ถึงวันนั้นยังมีพรรคเพื่อไทยอยู่อีกหรือไม่”
มีคนพูดว่าวันนี้การเมืองไทยแบ่งเป็นสามก๊ก คือ 1.ก๊กสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ 2.ก๊กเพื่อไทย 3.ก๊กประชาธิปัตย์ คำพูดนี้เป็นทฤษฎีที่ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ในความเป็นจริงทางการเมืองวันนี้ คือเป็นเพียงการต่อสู้กันในหมู่นักการเมืองที่เคยเป็นสมุนบริวารหรือเป็นแนวร่วมพรรคไทยรักไทย ว่าใคร กลุ่มไหน จะได้เสนอชื่อพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ถ้าจะทำนายฟันธง ว่ากลุ่มที่ได้หน้าเรียกกันว่า สว.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี