ธรรมชาติของผู้มีอำนาจ ไม่มีใครอยากทิ้งอำนาจที่เคยมีง่ายๆ
อำนาจจึงเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง เพราะระหว่างที่มีอำนาจ จะมีคนยอมสยบ ยกยอ สรรเสริญ สามารถครอบครองทรัพยากรได้อย่างมาก โดยเฉพาะในสังคมระบบอุปถัมภ์ ที่มีคนอยากอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของผู้มีอำนาจ
อำนาจ จึงหอมหวน ชวนติดใจ
ยิ่งอยู่นาน ก็ยิ่งติดใจ ผูกพัน และยิ่งรู้ว่าถ้าลงจากอำนาจจะไม่เพียงขาดสิ่งที่เคยเสพติด แต่จะต้องถูกตรวจสอบ เช็คบิล ก็ยิ่งอยากจะสืบทอดอำนาจ
บ้านเมืองที่แตกแยก แบ่งฝ่าย จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะต้องคำนึงว่า หากมีเลือกตั้ง อำนาจของบ้านเมืองจะตกอยู่กับใคร ฝ่ายไหน แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งมีบทเรียนในอดีตที่แตกต่างจากอดีตแต่เก่าก่อน ที่แม้ตัวจะอยู่ต่างประเทศ แต่ก็แผลงฤทธิ์ ไม่ยอมสยบ ไม่ยอมยุติ เหมือนผู้นำในอดีตที่ระเห็จไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งก็เพราะเคยติดใจในอำนาจที่เสพแล้วติดด้วยผลประโยชน์
อำนาจในปัจจุบัน จึงน่าจะเล็งเห็นว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในครั้งหน้านี้ เป็นเดิมพันของประเทศ และก็คงจะคิดว่าเป็นเดิมพันของอำนาจในปัจจุบัน เลือกตั้งครั้งนี้ “ต้องชนะ ไม่ชนะ ไม่ต้องเลือก”
สถานการณ์ของประเทศที่แปรเปลี่ยน ย่อมกำหนดเวลาของการเลือกตั้ง
เพราะเลือกช้า คะแนนนิยมจะตกหรือไม่ เพราะตัวแปรในเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่กระจายการเจริญเติบโตอย่างทั่วถึงจะเป็นอย่างไร?
ปัญหาคอร์รัปชั่นที่ยังควบคุมได้ยากจะเป็นอย่างไร?
เมื่อใกล้เวลาเลือกตั้ง บรรดาข้าราชการและพนักงานของรัฐ จะมีทีท่าเกียร์ว่าง หรือสนับสนุนมากน้อยแค่ไหน?
และที่สำคัญ คือ แรงกดดันจากนานาประเทศที่อยากเห็นการเลือกตั้งเร็วจะเป็นอย่างไร?
ถ้าจำต้องเลือกตั้งไว ก็จะต้องเสี่ยงต่อการที่รัฐบาลปัจจุบันจะไม่ได้บริหารต่อไปมากน้อยแค่ไหน?
อะไรคือปัจจัยทางการเมืองที่ต้องจับตา
1. การโยกย้ายทหาร โดยเฉพาะตำแหน่ง ผบ.เหล่าทัพ จะลงตัวแค่ไหน เพราะนี่ก็ใกล้เวลาที่จะต้องกำหนดประกาศ
การโยกย้ายข้าราชการระดับอธิบดีและปลัดกระทรวง แม้จะลงตัวเป็นที่พอใจ แต่ก็ต้องดูปฏิกิริยาต่อไปหรือไม่
2. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และการได้มาซึ่ง สว. ยังอยู่ระหว่างการทูลเกล้าฯ เพื่อพิจารณาลงพระปรมาภิไธย และจะครบกำหนด 90 วัน ในวันที่ 13 กันยายน
หากไม่ตกลงมา สนช.จะกล้ายืนยันตามรัฐธรรมนูญ หรือจะพิจารณาให้ร่างดังกล่าวตกไป
3. การแบ่งเขตเลือกตั้ง การหยั่งเสียงเลือกผู้สมัครของพรรคการเมือง โดยสมาชิกพรรค (Primary Election) จะสามารถทำได้ตามเวลา เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมายหรือไม่?
4. ปฏิบัติการดูด ดึง อย่างเช่นปฏิบัติการ “กลุ่มสามมิตร” จะดำเนินการได้ผลมากน้อยแค่ไหน และไว้ใจในผลงานได้จริงหรือไม่
5.การเดินสายต่างจังหวัด ทั้งในรูปแบบ “ครม.สัญจร” และรูปแบบอื่นๆ จะได้ผลต่อคะแนนเสียงหรือไม่?
รวมถึงโครงการประชารัฐ ไทยนิยมเข้มแข็ง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้ผลตอบรับแค่ไหน
6. พรรคการเมืองใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น รวมพลังประชาชาติไทย พลังประชารัฐ และอื่นๆ จะสามารถเดินได้ดีมากน้อยแค่ไหน
7. การเลือกสรร (สรรหา) สมาชิกวุฒิสภา ที่กฎหมายกำหนดให้ทำก่อนการเลือกตั้ง สส. จะบรรลุผลดีอย่างไร
8. การเลือกตั้งท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่า กทม. นายกเมืองพัทยา นายก อบจ. นายกเทศบาล นายก อบต. จะเลือกตั้งก่อนหรือหลัง? แล้วผลจะออกมาอย่างไร?
9. พระราชพิธีราชาภิเษก จะมีขึ้นเมื่อใด พลเอกประยุทธ์ได้เคยพูดไว้ว่า การเลือกตั้งจะมีหลังพระราชพิธีที่สำคัญนี้
คำตอบสุดท้าย คือ อนาคตประเทศไทย
อย่างน้อย ปัจจัย 9 ข้อที่ระบุข้างต้น ย่อมเป็นตัวแปรที่น่าจับตา เพื่อจะได้รู้ทันว่า การบริหารราชการแผ่นดิน การพัฒนาการเมืองของไทย จะเป็นอย่างไร ในช่วงปี 2561-2563
ประชาชนธรรมดาอย่างพวกเรา ที่ร่วมเป็นเจ้าของประเทศไทย ก็คงจะทำได้แค่นี้ คือ ช่วยกันคิด ช่วยกันหาข้อมูล เพื่อรู้เท่าทัน
ส่วนปัจจัยเรื่องความขัดแย้ง ความวุ่นวายของบ้านเมืองที่จะมีผลกระทบต่อการเลือกตั้ง รวมทั้งปัญหาติดขัดเทคนิคทางกฎหมายที่ติดขัด น่าจะถือเป็นตัวแปรที่ควบคุมได้
จะให้เกิดหรือไม่เกิด หรือเกิดอย่างใด ก็น่าจะควบคุมได้
ความสำคัญ จึงอยู่กับความหมายของคำว่า
“ผมแพ้ไม่ได้”
“วุ่นวายนัก ก็ไม่ต้องเลือก”
หรือจะเป็นความในใจ “ไม่ชนะ ก็ไม่ต้องเลือก”
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี