ก่อนหน้านี้ ก็เคยได้เขียนเรื่อง “ทุกข์ของชาวไร่ยาสูบ” ที่กำลังได้รับความเดือดร้อน ทั้งจากการที่การยาสูบแห่งประเทศไทยประกาศไม่รับซื้อใบยา แถมรัฐบาลยังยืนยันเดินหน้าขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่เป็นอัตราร้อยละ 40 ในเดือนตุลาคมปีหน้า ซึ่งคาดการณ์กันว่า จะทำให้อุตสาหกรรมหดตัวลงอีก 50% และความต้องการรับซื้อใบยาของการยาสูบฯ ลดลงอีกก็เป็นได้
ข้อมูลนี้พี่น้องชาวไร่ยาสูบส่งมาให้ผม น่าสนใจครับ
การทำไร่ยาสูบไทยในทุกภูมิภาคให้ผลผลิตใบยาสูบต่อปีราว 42 ล้านกิโลกรัม แบ่งเป็นยาสูบสายพันธุ์เบอร์เลย์ ประมาณ 21 ล้านกิโลกรัม สายพันธุ์เวอร์จิเนีย 11 ล้านกิโลกรัม และ สายพันธุ์โอเรียนทอล (เตอร์กิช) ปีละ 10 ล้านกิโลกรัม ทั้งสามสายพันธุ์มีการส่งขายให้การยาสูบแห่งประเทศไทยโดยเฉลี่ยประมาณ 60% มูลค่ากว่าสองพันล้านบาทต่อปี ส่วนที่เหลือเป็นการส่งออกเพื่อขายไปยังต่างประเทศ ทำรายได้ที่มั่นคงให้กับชาวไร่ยาสูบ 50,000 ราย และแรงงานที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 1 แสนรายทั่วประเทศ มาหลายชั่วอายุคนเป็นเวลากว่า 70 ปี
เมื่อวิถีชีวิตและสัมมาอาชีพได้รับผลกระทบแบบนี้ ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ชาวไร่ยาสูบต้องออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องการซื้อใบยา พร้อมวอนให้กระทรวงการคลังชะลอการขึ้นภาษีในปีหน้าออกไปก่อน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับชาวไร่ยาสูบ
ล่าสุด แว่วๆ มาว่าผลการประชุมคณะกรรมการการยาสูบฯ มีมติให้ลดโควตาการรับซื้อใบยาลงร้อยละ 50 ทุกสายพันธุ์ สายพันธุ์เวอร์จิเนียจากเดิมที่เคยรับซื้อ 10 ล้านกิโลกรัม จะเหลือ 5.6 ล้านกิโลกรัม สายพันธุ์เบอร์เลย์รับซื้อเพียง 5.7 ล้านกิโลกรัม จากที่เคยซื้อ 11 ล้านกิโลกรัม และสายพันธุ์โอเรียนทอล ลดลงเหลือ 1.64 ล้านกิโลกรัม จากโควตาเดิม 3.9 ล้านกิโลกรัม เพราะถ้าการขึ้นภาษีบุหรี่เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ทำให้การยาสูบฯ ขายสินค้าขายไม่ได้ ยอดขายลดลงมากกว่า 40% ก็ไม่รู้จะต้องซื้อวัตถุดิบเพิ่มไปทำไม เมื่อผลของการต่อสู้เพื่ออาชีพของบรรพบุรุษและรายได้ความเป็นอยู่ออกมาเป็นแบบนี้ ชาวไร่ก็ได้แต่ช้ำใจ ก้มหน้ารับสภาพกันไป ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครอีกได้
ความโชคร้ายของชาวไร่ยาสูบยังไม่จบลงแค่นั้น เมื่อรัฐบาลเร่งยกร่าง พ.ร.บ.จัดเก็บเงินสมทบเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการภาครัฐ พ.ศ ... โดยจะเก็บเงินสมทบจากสินค้าบุหรี่อีกซองละ 2 บาท เข้ากองทุนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อดูแลประชาชนตามสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยแต่ละปีต้องใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 170,000 ล้านบาท
ทุกครั้งที่มีการเก็บภาษีเพิ่มจากบุหรี่ ตลาดบุหรี่ก็จะหดตัวลง ตัวอย่างเช่น การประกาศปรับโครงสร้างภาษียาสูบเมื่อเดือนกันยายน 2560 ที่ผ่านมา โดยเก็บภาษีจากบุหรี่ที่ราคาขายปลีกต่ำกว่า 60 บาท ที่ 20% และราคาขายปลีกสูงกว่า 60 บาทที่ 40% ทำให้ราคาบุหรี่ปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 30-40% ส่งผลให้ตลาดบุหรี่หดตัวลงกว่าร้อยละ 15 แต่การบริโภคยาเส้นมวนเองและบุหรี่ผิดกฎหมายกลับโตขึ้นแทน ซึ่งหากจะเก็บเงินจากบุหรี่เพื่อไปสมทบกองทุนผู้ใช้สิทธิ์บัตรทอง บุหรี่ทุกยี่ห้อต้องปรับราคาขึ้นเป็นอย่างน้อย 90 บาท ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดหดตัวลงอีกกว่า 50% นอกจากรัฐบาลจะไม่ได้เงินสมทบเข้ากองทุนเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างที่ตั้งใจแล้ว คนที่รับเคราะห์เต็มๆ ไปด้วยก็คือชาวไร่ยาสูบนั่นเอง
หากรัฐบาลต้องการให้ 48 ล้านคน เข้าถึงระบบประกันสุขภาพพื้นฐาน ทำไมไม่เก็บเงินสมทบจากสินค้าบาปอื่นๆ บ้าง ชาวไร่ยาสูบ 50,000 คน เป็นเพียงเกษตรกรธรรมดาที่ตอนนี้หลักประกันทางรายได้ก็ยังไม่ชัดเจน จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ซ้ำๆ แบบนี้
สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตรที่ประกาศจะประสานงานกับภาครัฐเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวยาสูบ ก็ไม่รู้ว่ามีความคืบหน้ามากน้อยแค่ไหน??
เคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือประชาชน ไม่ผิดกติกาทางการเมือง ผมขอเอาใจช่วยให้บรรลุผลสำเร็จโดยเร็วครับ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี