มีการพยากรณ์กันว่า อีกประมาณ 20-30 ปีข้างหน้า ประชากรโลกส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 70 จากจำนวนเก้าพันกว่าล้านคนนั้นจะใช้ชีวิตกันอยู่ในตัวเมือง โดยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันร้อยละ 51 โดยประมาณ
ที่เป็นเช่นนั้นก็คงด้วยความสะดวกสบาย ด้วยอัตราส่วนการจ้างงาน ผนวกกับ ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ เช่น การใช้พื้นที่เพื่อการเกษตรก็จะลดน้อย แต่ผลผลิตต่อเนื้อที่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงมีเทคโนโลยีการเพาะปลูกที่ไม่ต้องใช้ดินอีกต่อไป หรือแม้แต่การเลี้ยงสัตว์ในตัวเมืองที่ไม่ต้องใช้พื้นดิน เช่น ที่ เมืองรอตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ได้มีการทดลองเรื่องปศุสัตว์บนแพ หรือฟาร์มลอยน้ำ เพื่อผลิตนมวัว เป็นต้น ซึ่งมีนัยของการให้ชีวิตชาวเมืองพึ่งตนเองทางด้านอาหารมากยิ่งขึ้น แทนที่จะต้องนำเข้ามาจากพื้นที่ชนบท
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยการพัฒนาระบบดิจิทัล และการสื่อสารสมัยใหม่ เพื่อมารองรับการดำรงชีวิตประจำวัน และการทำงานไม่ว่าจะเป็น การใช้หุ่นยนต์ หรือเครื่องประดิษฐ์สมองกล เพื่อการขับเคลื่อนยานยนต์เพื่อการอำนวยการจราจร ไปจนถึงการใช้เครื่องเซ็นเซอร์ เพื่อตรวจสอบสภาพของต้นไม้ริมทาง หรือในสวนสาธารณะ หรือในการตรวจสอบความเต็มของถังขยะ และตรวจสอบชนิดของสารพิษในขยะ เพื่อการแยกแยะและทำลาย เป็นต้น
ซึ่งระหว่างที่ชาวโลกกำลังปรับตัวไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อมารองรับชีวิตอยู่นั้น การอาศัยอยู่ในตัวเมืองก็คงไม่พ้นเรื่องความต้องการพื้นฐาน หรือความต้องการชีวิตในประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพและความเพียงพอของที่อยู่อาศัย เรื่องความสะดวกในการเดินทางและการขนส่งประจำวัน เรื่องค่าครองชีพ เรื่องบันเทิงและประเพณีวัฒนธรรม เรื่องความปลอดภัย เรื่องสาธารณูปโภค เรื่องธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เรื่องการศึกษาและการรักษาพยาบาลและเรื่องการเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสาร และการบริการด้วยคุณภาพ และความรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องคุณภาพและการคุ้มค่าของราคา เป็นต้น
ซึ่งในปัจจุบันก็มีการเปรียบเทียบความน่าอยู่ ความน่าพิสมัยของเมืองต่างๆ โดยให้คะแนนกัน รวมทั้งกรุงเทพมหานครของเรา ก็ถูกประเมินเป็นระยะๆ เช่นกัน เพราะถือเป็นทั้งเมืองหลวง เมืองท่า ศูนย์กลางการบินระหว่างประเทศ ศูนย์กลางวัฒนธรรม ธุรกิจ และการท่องเที่ยว แถมยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานภูมิภาคขององค์กรระหว่างประเทศอีกมากมายอยู่ด้วย
โดยในกระบวนเมืองน่าอยู่ (Most Livable) แล้ว บริษัทที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ (TheEconomist Intelligence Unit – EIU) ของสหราชอาณาจักร ได้จัดการสำรวจ ประเมิน และให้คะแนน ปรากฏว่ากรุงเทพมหานครของเราเป็นอันดับที่ 98 (คือได้คะแนนระหว่าง 60 ถึง 70 จาก 100 คะแนน ซึ่งถือว่ายังไม่ดีพอ โดยเมืองที่ดีนั้นต้องมีคะแนน 80 ขึ้นไป)
เมือง 10 อันดับแรกของโลกที่น่าอยู่ตามลำดับ ได้แก่
1. กรุงเวียนนา, ออสเตรีย
2. นครเมลเบิร์น, ออสเตรเลีย
3. นครโอซากา, ญี่ปุ่น
4. เมืองคาลการี, แคนาดา
5. นครซิดนีย์, ออสเตรเลีย
6. นครแวนคูเวอร์, แคนาดา
7. กรุงโตเกียว, ญี่ปุ่น
8. นครโตรอนโต, แคนาดา
9. กรุงโคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก
10. นครแอดิเลด, ออสเตรเลีย
ส่วนเมืองที่ไม่น่าอาศัยอยู่จากลำดับท้าย ได้แก่
1. เมืองดามัสกัส, ซีเรีย
2. เมืองธากา, บังกลาเทศ
3. เมืองลากอส, ไนจีเรีย
4. เมืองการาจี, ปากีสถาน
5. เมืองพอร์ต มอร์สบี, ปาปัวนิวกินี
6. เมืองฮาราเร, ซิมบับเว
7. เมืองทริโปลี, ลิเบีย
8. เมืองดูอาลา, แคเมอรูน
9. เมืองแอลจีเรีย, แอลจีเรีย
10. เมืองดาการ์, เซเนกัล
ส่วนเมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุด 10 อันดับ
แรกคือ
1. เมืองสิงคโปร์, สิงคโปร์
2. กรุงปารีส, ฝรั่งเศส
3. เมืองซูริค, สวิตเซอร์แลนด์
4. ฮ่องกง, ฮ่องกง
5. กรุงออสโล, นอร์เวย์
6. กรุงเจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์
7. กรุงโซล, เกาหลีใต้
8. กรุงโคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก
9. กรุงเทลอาวีฟ, อิสราเอล
10. นครซิดนีย์, ออสเตรเลีย
และเมืองที่ค่าครองชีพต่ำสุด 10 อันดับ คือ
1. กรุงดามัสกัส, ซีเรีย
2. กรุงการากัส, เวเนซุเอลา
3. กรุงอัลมาตี้, คาซัคสถาน
4. กรุงลากอส, ไนจีเรีย
5. เมืองบัลกาลอร์, อินเดีย
6. กรุงการาจี, ปากีสถาน
7. เมืองแอลเจียร์, แอลจีเรีย
8. เมืองเชนไน, อินเดีย
9. เมืองบูคาเรสต์, โรมาเนีย
10. กรุงนิวเดลี, อินเดีย
นอกจากนั้นยังมีข่าวระบุด้วยอีกว่ากรุงจาการ์ตาจะจมน้ำทะเลภายใน 20 ปีข้างหน้า หากไม่ได้รับการแก้ไข
จากอันดับเมืองน่าอยู่ดังกล่าว บรรดาเมืองเล็ก หรือเมืองขนาดย่อมที่มีประชากรราว 2-4 ล้านคน เช่น นครเมลเบิร์น หรือนครแวนคูเวอร์ ก็ยังพอจะเข้าใจได้ว่าการจัดการดูแลคงไม่วุ่นวายซับซ้อนมาก แต่ที่น่าทึ่งก็คือ เมืองยักษ์ใหญ่อย่างกรุงโตเกียว และนครโอซากาที่มีประชากรเป็น 10 กว่าล้านคน แถมยังมีคนเดินทางเข้าออกมาทำงาน ทำบุญอีกหลายๆ ล้านคน แล้วยังสามารถดูแลบริหารจัดการ จนติดอันดับน่าอยู่ของโลกนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องชื่นชมกัน และน่าจะได้ถูกนำมาเป็นตัวอย่าง เป็นแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการ ให้กับ กรุงเทพมหานครของเรา (ซึ่งประกอบด้วย 2 ราชธานี คือ กรุงธนบุรี และกรุงเทพฯ)
เพราะหากไม่ทำอะไรกันเลย ก็คงน่าอายอยู่พอสมควร ที่ปล่อยให้เมืองหลวงของไทยเรา ที่ขึ้นชื่อในการท่องเที่ยวของโลก แต่ล้าหลังไม่ได้มาตรฐานสากล
ซึ่งคงเป็นเรื่องของชาวไทย โดยเฉพาะชาวกรุงเทพมหานครโดยรวม ซึ่งการจะหวังพึ่งการนำพาของผู้นำทางการเมืองคงไม่เป็นการเพียงพอ แต่ต้องให้เรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติ และร่วมแรงร่วมใจกันทุกหมู่เหล่า
การเริ่มต้นก็น่าจะเริ่มกันได้หลายๆ จุดพร้อมๆ กัน จะเป็นฝ่าย กทม. ฝ่ายโยธาฝ่ายวิชาการ ฝ่ายองค์กรภาคประชาชน และฝ่ายองค์กรสภาอาชีพ ช่วยระดมความคิดและทำแผนแม่บท ในขณะเดียวกัน พวกเราทุกคนต้องเข้ามามีส่วนร่วมคนละเล็กละน้อย เริ่มตั้งแต่การรักษาความสะอาด ลดเสียงและกลิ่นในชีวิตประจำวัน และหลีกเลี่ยงการทำให้ถนน ตรอก ซอย แม้กระทั่งลานวัด กลายเป็นที่จอดรถ และก่อนอื่นนั้นต้องทำคลองเล็กคลองใหญ่ให้สะอาด ท่อน้ำต้องไม่ตื้นเขิน ไฟถนนต้องมี (ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ก็ได้) และการจัดให้อยู่กันได้ระหว่างเขตที่พักอาศัย กับเขตการค้าขาย เป็นต้น
เมืองไทยนั้นมากด้วยวิจิตรศิลป์ และความสวยงามทางธรรมชาติ ซึ่งกรุงเทพฯ ก็ถือเป็นประตูบานแรกของชาวต่างชาติที่จะเปิดไปสู่ความสวยงามต่างๆ ของประเทศไทย อย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายข้าราชการเท่านั้น ที่พัฒนาให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองหน้าอยู่ เราชาวกรุงเทพฯ ก็สามารถช่วยกันคนละไม้คนละมือ เริ่มต้นที่บ้าน แล้วขยายไปสู่ชุมชน รวมพลังกัน แล้วร่วมกับฝ่ายการเมือง ฝ่ายภาครัฐ ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ คุณภาพชีวิตในการอาศัยในเมืองอมรนี้ ก็คงอยู่ไม่ไกล
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี