เมื่อปลายเดือนส.ค. 2561 ที่ผ่านมา “นสพ.แนวหน้า”มีการจัดเวทีเสวนาใหญ่ “แนวหน้า Forum #1 (ครั้งที่ 1) : จับตาชีพจรเศรษฐกิจไทย” ระดมเอา“ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาล “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา มาบอกเล่าเรื่องราวนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งนำพาประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่ “ยุค 4.0” ที่รูปแบบเศรษฐกิจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นำโดยท่านรองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งได้กล่าวในวันนั้นไว้ว่า
“ชาติอื่นเขาไป AI (ปัญญาประดิษฐ์) แล้ว ซึ่งต้องมี Big Data (ฐานข้อมูลรวมขนาดใหญ่) สิ่งเหล่านี้มีกี่องค์กรที่ตระหนักและขับเคลื่อน? นี่คือสิ่งที่พยายามจะโยงให้เข้าใจ ให้เดินไปข้างหน้า หรือ Start Up มีกี่คนที่เข้าใจ? ผมเจอ Trust Holding เป็นตัวกลางระหว่างรัฐ เอกชนและมหาวิทยาลัย เขาสร้างเครือข่าย Start Up เป็นร้อยบริษัท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเอาเข้ามาช่วยเรา นี่คือความพยายามตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าอะไรก็ราคาข้าว ยาง ปาล์ม วนเวียนอยู่อย่างนี้”
เช่นเดียวกับอีกท่านหนึ่งในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ร่วมกล่าวในงานครั้งนี้ อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เน้นย้ำไปที่ความสำคัญของ “อาชีวศึกษา”ซึ่งต้องส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมเข้าไปทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษากลุ่มนี้ “ให้โจทย์ไปตั้งแต่วันแรกว่าภาคอุตสาหกรรมอยากได้คนแบบไหนไปทำงาน” เพื่อให้มีคนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมได้เร็วที่สุด
รวมถึงตัวแทนภาคเอกชน สุพันธุ์ มงคลสุธีประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.)ที่ยกตัวอย่าง “รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า”(Electric Vehicle : EV) ว่านี่คือ “หน้าตาของรถยนต์ในอนาคต” และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเองก็ต้อง “ปรับตัว” แน่นอนรวมถึง “แรงงาน” ด้วย โดยทาง สอท. เองทุกวันนี้ก็ทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนจบออกมามีทักษะสอดคล้องกับตลาดแรงงาน
ทั้งหมดข้างต้นนับว่าเป็น “ความตั้งใจที่ดี” ของรัฐบาลโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในความพยายามนำพาประเทศไทยไม่ให้ตกขบวนรถที่ชื่อว่ายุค 4.0 ยังไม่นับเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนที่เอาจริงเอาจังกันมากตั้งแต่เมื่อมารดาตั้งครรภ์ ไล่มาจนถึงการศึกษาในทุกระดับไม่ว่าปฐมวัย ประถม มัธยม อาชีวะ และอุดมศึกษา โดยสรุปทั้งหมดคือ “มุ่งสร้างคนรุ่นใหม่” ให้แต่ละคนมีศักยภาพสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะเด็กไทยเกิดใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น “เมื่อปริมาณมีน้อยคุณภาพก็ต้องคับแก้ว” เพื่อมารับช่วงต่อประเทศ
ถึงกระนั้น..อีกด้านหนึ่งก็ยังมี “ผู้ตกค้างจากโลกเก่า” อยู่เป็นจำนวนมาก อันหมายถึง “แรงงานที่กำลังทำงานอยู่ ณ ปัจจุบัน” โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ “ช่วงท้ายวัยหนุ่มสาว” หรือช่วง 30 ปีปลายๆ เป็นต้นไป จนถึงวัยกลางคนและวัยสูงอายุที่ต้องไม่ลืมว่าอายุขัยเฉลี่ยคนเพิ่มขึ้น ผู้สูงวัยจำนวนไม่น้อยเป็นกลุ่ม“ติดสังคม” ถึงเกษียณแล้วแต่ยังมีสุขภาพแข็งแรงดีสามารถทำงานได้ และหลายคนก็จำเป็นต้องทำงานด้วยเพื่อเลี้ยงชีวิตตนเอง
รายงาน “การสำรวจแรงงานนอกระบบพ.ศ. 2560” จัดทำโดย สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ระบุว่า 1.แรงงานไทยอยู่นอกระบบมากกว่าในระบบ แบ่งเป็นแรงงานในระบบราว 16.87 ล้านคน และแรงงานนอกระบบราว 20.77 ล้านคน (หมายเหตุ :แรงงานนอกระบบหมายถึงผู้มีงานทำที่ไม่ได้รับสิทธิความคุ้มครอง ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือการจ้างงานแบบไม่เป็นทางการ ต่างจากแรงงานในระบบที่เป็นลูกจ้างในสถานประกอบการที่จดทะเบียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะต้องได้รับสิทธิต่างๆ ตามกฎหมาย เช่น วันหยุด ประกันสังคม ฯลฯ)
2.ผู้อายุน้อยและการศึกษาสูงมีแนวโน้มเป็นแรงงานในระบบมากกว่านอกระบบ ตัวเลขจากรายงานของ สสช. ข้างต้น ระบุว่า จำนวนของแรงงานในระบบค่อยๆ เพิ่มขึ้น จาก 1.69 ล้านคน ในช่วง
วัยรุ่นอายุ 20-24 ปี และเพิ่มไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายๆของวัยหนุ่มสาวคืออายุ 35-39 ปี อยู่ที่ 2.54 ล้านคนจากนั้นจะค่อยๆ ลดต่ำลง ตรงข้ามกับแรงงานนอกระบบที่ช่วงอายุ 20-24 ปี, 25-29 ปี, 30-34 ปี และ 35-39 ปี อยู่ที่ช่วงวัยละประมาณ 1 ล้านกว่าคนเศษ แต่เมื่อถึงวัยกลางคน หรืออายุ 40 ปีขึ้นไป จนถึงวัยชรา คือ อายุมาก 60 ปี จำนวนจะมากกว่า 2 ล้านคนในทุกช่วงวัย
เช่นเดียวกับระดับการศึกษา แรงงานในระบบมักเป็นผู้มีการศึกษาค่อนไปทางสูง อาทิ อุดมศึกษา (ปริญญาตรีขึ้นไป) มากที่สุดราว 6.01 ล้านคนรองลงมาคือมัธยมปลาย (ม.6 หรือวุฒิที่เทียบเท่า เช่นอาชีวะ ปวช. ปี 3) 3.27 ล้านคน มัธยมต้น (ม.3)ราว 3 ล้านคน และมีแรงงานในระบบที่จบเพียงประถมศึกษา (ป.6) เพียง 2.69 ล้านคนเท่านั้น สวนทางกับแรงงานนอกระบบที่อยู่ในระดับต่ำกว่าประถมศึกษามากที่สุดถึง 6.26 ล้านคน รองลงมาคือประถมศึกษา5.64 ล้านคน และลดลงไปตามลำดับ จนถึงอุดมศึกษาที่มีเพียง 1.96 ล้านคนเท่านั้น
3.แรงงานนอกระบบกระจุกตัวอยู่ในภาคเกษตรร้านค้าและตลาด แรงงานนอกระบบอยู่ในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือในด้านการเกษตรและประมงมากที่สุดถึงราว 10.84 ล้านคน รองลงมาเป็นพนักงานบริการ พนักงานในร้านค้าและตลาดราว 4.77 ล้านคนขณะที่แรงงานในระบบนั้นค่อนข้างกระจายตัวในหลายกลุ่ม ได้แก่ ผู้ปฏิบัติการโรงงานและเครื่องจักรราว 2.82 ล้านคน พนักงานบริการ พนักงานในร้านค้าและตลาดราว 2.68 ล้านคน ผู้ปฏิบัติงานด้านความสามารถทางฝีมือราว 2.3 ล้านคน อาชีพพื้นฐานต่างๆ ในด้านการขาย การบริการ 2.2 ล้านคน เป็นต้น
เรื่องนี้เข้าใจได้ว่า “เป็นธรรมดาที่คนรุ่นหลังย่อมได้รับโอกาสมากกว่าคนรุ่นก่อน จากสวัสดิการต่างๆ ที่พัฒนามาตามลำดับ” แต่ในโลกใหม่ที่ “เศรษฐกิจเดิมที่คุ้นชินถูกสั่นคลอนในสังคมที่คน
รุ่นเก่ายังมีชีวิตอยู่” ดังบทความ “ผลของการขยายตัว
ของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ สมองกลอัจฉริยะต่อระบบการผลิต ระบบเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน” เขียนโดยคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ระบุว่า แนวโน้มการใช้เครื่องจักรแทนมนุษย์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะงานประเภทที่ทำแบบเดิมซ้ำๆ ไม่ใช้ทักษะสูง
ไม่ต่างจากคำเตือนของผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายแรงงานจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ในบทความ “โอกาสและความเสี่ยง คนทำงานภาคบริการในไทยแลนด์ 4.0”ที่กล่าวถึงความเสี่ยงตกงานของแรงงานภาคบริการตั้งแต่พนักงานธนาคารไปจนถึงครูบาอาจารย์ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาแทนที่ เช่นการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ การเรียนหลักสูตรออนไลน์และจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงทำให้ประชากรวัยเรียนลดลง
หลายประเทศพูดถึงคำว่า “รี-สกิล” (Re-Skill)คือการทำให้แรงงานจากโลกเก่าสามารถปรับตัวเข้ากับโลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน เรื่องนี้คงต้องฝากเป็นการบ้านให้ภาครัฐของไทยด้วยว่าจะทำอย่างไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี