29 ส.ค. 2561 เพจเฟซบุ๊ค “อนาคตใหม่ - The Future We Want” โพสต์ภาพและข้อความของ “นายปิยบุตร แสงกนกกุล” ที่ลงท้ายข้อความด้วยตำแหน่ง “ว่าที่เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่” ขณะลงพื้นที่พบปะและรับฟังปัญหาในจังหวัดทางภาคอีสาน
โดยระบุว่า “คนอีสานเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศมาทุกยุคทุกสมัย มีคนที่มีความรู้ความสามารถหลายคน แต่ด้วยโครงสร้างที่อยุติธรรมกดทับไว้ ทำให้คนอีสานไม่สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ด้วยการแบ่งสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม ทำให้คนอีสานเข้าไม่ถึงโอกาสเพื่อยกระดับชีวิตหรือสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ได้ นี่ขนาดโดนกดทับหรือเข้าไม่ถึงโอกาสอย่างนี้ ยังแสดงศักยภาพออกมาได้บ้าง ถ้าปลดล็อก ลองคิดดูว่าจะไปได้ไกลขนาดไหน
เรา อนาคตใหม่จำเป็นต้องเข้าไปมีอำนาจรัฐ ไม่ใช่เพราะเราอยากมีอำนาจหรือฝันถึงการได้สายสะพายจากการเป็นรัฐมนตรี แต่เราจำเป็นต้องเข้าไปมีอำนาจ เพื่อจะเอาอำนาจนั้น คืนกลับมาที่พี่น้องประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ เราต้องการเข้าไปปลดปล่อยศักยภาพของพี่น้องประชาชน ปลดปล่อยศักยภาพคนอีสาน ปลดปล่อยศักยภาพของประเทศไทย”
เราเห็นอะไรจากข้อความนี้บ้าง นี่คือวิธีคิดแบบ “อนาคตใหม่” ที่ไม่ต่างจากวิธีที่ “คอมมิวนิสต์” เคยใช้ และนักการเมืองล้าหลังทั้งหลายใช้อยู่ คือ “กดให้ต่ำ และอาสาปลดปล่อย”
ขณะที่อ้างว่า “โครงสร้างที่อยุติธรรมกดทับ” ก็ “กดทับซ้ำ” แล้วอาสาว่าจะเป็น “ตัวแทนเข้าไปเอาอำนาจมาปลดปล่อย”
ประชาชนในทุกภาคล้วนมีปัญหาของตน ทุกภูมิภาคก็ย่อมมีทั้งวิกฤติและโอกาส หน้าที่ของ “ผู้แทนที่ดี” คือ ไปต่อยอดโอกาสนั้น และแก้ไขวิกฤตินั้น โดยไม่ต้อง “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ไม่ต้องสร้างความรู้สึก “ต่าง” เพื่อให้เขาสิ้นหวัง จากนั้นก็อุปโลกน์ตัวเองเข้าไปเป็น “ผู้ปลดปล่อย” วิธีการนี้เป็นวิธีการแบบพวกทำสงครามศาสนา หรือพรรคคอมมิวนิสต์มากกว่า ไม่น่าจะเป็นวิธีการของ “คนรุ่นใหม่” ที่ “คิดใหม่” เพื่อสร้าง “อนาคตใหม่”
และสิ่งที่ “อดไม่ได้” ของปิยบุตร คือการ “แซะเจ้า” ผ่านคำว่า “สายสะพาย” ข้อนี้ไม่ใช่ข้อที่ต้องเคลือบแคลงว่าปิยบุตรต้องการสายสะพายหรือไม่ เพราะท่าทีของเขาชัดเจนมาตลอดว่า “ไม่สนับสนุนการมีสถาบัน” ปิยบุตรจะเชื่ออย่างนั้น หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนั้น เป็นอุดมการณ์ เป็นความรู้สึก เป็นความต้องการส่วนตัวคงไม่เป็นไร แต่ปิยบุตรต้องไม่ “สนตะพาย” ใคร ผ่านการทำตนเป็นผู้เหนือกว่า เพื่อมาปลดปล่อย เพราะคนที่เป็นคนรุ่นใหม่ ขายคำว่าอนาคตใหม่ ควรหยุดสร้างความขัดแย้งแตกแยก หยุดหวังใช้คนอีสานเป็นเครื่องมือทางการเมือง ด้วยการทำให้เขาต่ำต้อยกว่าคนอื่น คับแค้นกว่าคนอื่น แล้วไปตลบตบท้ายว่า “คนต้องเท่ากัน”โลกนี้ไม่มีอะไรที่เท่ากันไปเสียทั้งหมด แม้กระทั่งคน ดูในพรรคอนาคตใหม่ก็ได้ ทุกคนไม่ได้เท่ากัน แต่ทุกคนมี “หน้าที่” ของตัวเอง บนความไม่เท่ากันนั้น ความตระหนักในหน้าที่ จะนำศักยภาพของทุกคนมาประสานกัน แล้วสร้างสิ่งที่ดีงามและยิ่งใหญ่ขึ้น
อยากเห็นคนรุ่นใหม่ ทำงานโดยปราศจากอคติและความเกลียดชัง สำคัญที่สุดต้องไม่เป็น “เชื้อแห่งความเกลียดชัง
ก่อนหน้านี้ “อำมาตย์เต้น” ฉายาที่สื่อมักใช้เรียก “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ก็เป็นคนหนึ่งที่ไต่เต้าขึ้นสู่อำนาจด้วยวาทกรรม “ไพร่-อำมาตย์” แต่สุดท้ายก็เข้ามาสู่สายสะพายและเครื่องราชอย่างไม่เคอะเขิน ลองไปหาดูรูปเก่าๆ ของปิยบุตรกันหน่อยครับ เวลาแต่งชุดขาว แกติดแถบอะไรบนอกเสื้อบ้างไหม?
กระนั้นก็ตาม เทียบ 2 คนนี้ ผมว่าปิยบุตรนี่ “ไม่เอาสถาบัน” จริงยิ่งกว่าณัฐวุฒิ ซึ่งเป็นแต่เพียงนักสร้างวาทกรรม!!
คนอีสานนี่ เป็นอย่างไรไม่ทราบ นักปกครอง นักการเมือง (เลวๆ) แกนนำมวลชน ชอบสร้างความต่างให้พวกเขา ชอบทำให้เขาต่ำต้อยกว่าคนภาคอื่นๆ ทั้งๆ ที่ในโลกของความเป็นจริง มันมีความต่างและความเหมือน มันมีโอกาสและวิกฤติที่เราแก้ไขและพัฒนาได้
เช่น อีสานเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมชั้นดี ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงยกระดับขึ้นมาเป็นงาน “ศิลปาชีพ” คือ เป็นทั้ง “ศิลปะ” และ “อาชีพ” ยกระดับผ้าทอใต้ถุนบ้าน ทอใช้กันเอง เป็น “สินค้าพรีเมียม” โดยที่พระองค์เองทรงเป็น “พรีเซ็นเตอร์” จนกลายเป็นอาชีพถาวรได้ เพียงแต่ขาดการบริหารจัดการที่ต่อเนื่องให้ระดับ “ชุมชน” แข็งแกร่งพอ ก็เห็นว่ากระทรวงมหาดไทยพยายามจัดการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
อีกประการก็เช่น ถามว่า มีดินและสภาพภูมิประเทศที่ไหนในประเทศไทยดีเท่าทุ่งกุลาฯ ที่สามารถผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ “ข้าวไทย” แต่มีกระบวนการจัดการให้สามารถเพาะปลูกได้ตลอดปีเหมือนลุ่มน้ำภาคกลางไหม หรือยังต้องเป็นนาน้ำฝน
ในโครงการ “รับจำนำข้าว” ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คนที่รวยและได้เปรียบจากโครงการดังกล่าว คือ ชาวนาในภาคกลาง นาในระบบชลประทาน ที่ปลูกแล้วปลุกเล่า เอาข้าวไปขาย ประเด็นอย่างนี้สิ ที่เราเห็นความเหลื่อมล้ำ ความแตกต่าง ที่ชี้ได้ด้วยเหตุและผล ไม่ต้องสร้างอคติ ไม่ต้องกดซ้ำเพื่อจะโอบอุ้มทีหลัง ไม่ต้องตบหัวแล้วลูบหลังเขา
ขอสรุปอีกครั้งว่า อีสานไม่ต่างจากภาคอื่นๆ ที่มีทั้งปัจจัยหนุนและปัจจัยถ่วงคุณภาพชีวิตและโอกาสของประชาชน เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องศึกษาปัญหา ชี้ไปที่ตัวปัญหา แล้วแก้ปัญหานั้นร่วมกัน โดยไม่ต้องแบ่งแยกว่าใครอยู่ภาคใด เอาความเป็นภูมิภาคไปเป็นพวกพ้องของตัวเอง แล้วเกลียดชังหรือระแวงระวังเพื่อนร่วมชาติ
แต่ถามว่า เข้าใจไหม ว่าทำไมนักการเมืองต้องไปกลุ้มรุมพื้นที่ภาคอีสาน วิเคราะห์ได้ไม่ยากเลย
1) เป็นพื้นที่ที่มีเขตการเลือกตั้งมากที่สุด ดังนั้น หากใครทำให้คนอีสานใส่คะแนนให้ได้มากที่สุด ก็มีโอกาสที่จะคว้าชัยชนะเลือกตั้งได้มาก ดังจะเห็นได้ว่า ทุกยุคทุกสมัย คะแนนเสียงอีสานเป็นคะแนนเสียงชี้ขาดการเลือกตั้งมาโดยตลอด เพราะสัดส่วนประชากรต่อพื้นที่มีมากว่าภาคอื่นๆ
2) คนอีสานมีธรรมชาติของ “ความซื่อ” และ “ความเป็นหมู่” ที่จริงจัง จริงใจ เวลาที่เขา “ให้ใจ” กับใครแล้ว เขาให้จริง ให้หมดใจ และกี่ยุคกี่สมัยแล้ว ที่นักการเมืองเลวๆ อาศัยธรรมชาตินี้ของเขา หลอกต้มเขาหลอกใช้เขา และยังให้เขาอยู่กับ “ความอยุติธรรม” แบบที่ปิยบุตรอ้างถึงว่ามี ซึ่งก็ไม่ได้ชี้ให้ชัดว่าคืออะไร
เอาเป็นว่า การเมืองนับจากวันนี้ ไม่ว่าอนาคตเดิมหรืออนาคตใหม่ หยุดใช้ความเกลียดชังเป็นเชื้อ แต่ชี้ปัญหาเพื่อเสนอทางแก้ปัญหาให้คนอีสานและคนทุกภูมิภาคเขาได้เลือก “ตัวแทน” ของเขาอย่างสร้างสรรค์เถอะ หยุดความคิดสกปรก หยุดวิธีสกปรกแบบที่ใช้กันนี้ได้แล้ว ให้เกียรติประชาชน และให้เกียรติตัวเองว่า มีปัญญาพอที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องชี้นิ้วไปที่ใครให้ต่ำสูงต่างกัน เพราะเอาเข้าจริง นายทุนใหญ่ว่าที่หัวหน้าพรรคอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็เหนือกว่าคนอื่นๆ ด้วยฐานะ ปิยบุตร ก็มีมากกว่าคนอื่นด้วยปัญญาความรู้ เอาความมากกว่านั้นมากระจายถ่ายเท พัฒนาอย่างสร้างสรรค์จะดีกว่า อย่าเอาความรู้ที่มากกว่ามากดขี่ อย่าเอาทุนที่มากกว่ามาเอาเปรียบ แค่นั้นก็ดีงามแล้ว
เช่นเดียวกับการ์ตูนของ “ขวด” ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อ “อคติ” เข้ามาบดบัง “ปัญญา” เสียแล้ว ความบิดเบี้ยวในฐานะ “สื่อ” ก็บังเกิด และย่อมมีผลกระทบไปถึง ผู้รับสาร” ด้วย
ขวดเขียนการ์ตูน 4 คู่ความคิด ในแนวคิดเรื่อง “ย้อนแย้ง” (ดูภาพประกอบ)
1.ภาพ “โรงพักสร้างไม่เสร็จ” กับ “รปช.จะปฏิรูปตำรวจ”ไม่เป็นตรรกะซึ่งกันและกัน และไม่มีอะไรที่ย้อนแย้งกัน เพราะโรงพักที่สร้างไม่เสร็จนั้น เกิดจากหลายปัจจัย เช่น มีการแก้ไขสัญญาและวิธีดำเนินการ บางแห่งไม่ส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับเหมา ฯลฯ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่อง “ปฏิรูปตำรวจ” เลย เพราะการปฏิรูปตำรวจนั้น มุ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ตำรวจชั้นผู้น้อย ลดความสะดวกสบายแต่ไร้ประโยชน์ของการมีนายพลล้นเหลือ แยกงานสืบสวนสอบสวนออกมาเพื่อเพิ่มพูนความยุติธรรมต้นทางให้แก่ประชาชน และลดการแทรกแซง ซื้อ-ขายสำนวนคดี ลดการเรียกรับสินบนหรือส่วย กระจายตำรวจบางประเภทไปอยู่หน่วยงานอื่น เช่น ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้น ต่อให้ในท้ายที่สุด หากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะต้องถูกฟ้องศาลฐานผิด 157 เกี่ยวกับเรื่องโรงพักทดแทนนี้ ก็ไม่ได้แปลว่า พรรครวมพลังประชาชาติไทย ซึ่งโดยพฤตินัย ก่อตั้งและขับเคลื่อนโดยนายสุเทพเป็นหลักอยู่นี้ ไม่มีสิทธิโดยชอบที่จะขับเคลื่อนความต้องการที่จะปฏิรูปองค์กรตำรวจต่อไป แม้จะต้องต่อสู้คดีโรงพักทดแทนไปด้วยในเวลาเดียวกัน
2.บอกไม่มีระบบซ่อมในค่าย แต่มีการซ้อมทหารปางตายอันนี้พอมีเหตุมีผลและน่าสนใจ คือ ผู้ใหญ่ในกองทัพชอบบอกว่าไม่มีระบบการลงโทษที่รุนแรง ละเมิดสิทธิมนุษยชน ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่การละเมิดร่างกาย เช่น ให้แก่ผ้า ให้จับอวัยวะเพศกัน ฯลฯ ตลอดจนการทำร้ายร่างกาย ก็ยังมีให้เห็น มันจึงเข้าข่าย “ย้อนแย้ง” อย่างที่ ขวด นำเสนอ แต่ถ้าจะจำแนกให้ประณีตขึ้น ก็ต้องดูด้วยว่า เหตุที่เกิด เป็นเหตุจาก “ตัวบุคคล” หรือ “ตัวระบบ” ระบบอาจจะไม่มี ไม่อนุญาต แต่ตัวคนลุแก่อำนาจ และใช้ความรุนแรงดังกล่าว หรือเอาเข้าจริง ระบบนั่นแหละ เอื้อให้เกิดความรุนแรงดังกล่าว ถ้าเป็นอย่างหลัง เราก็ต้องแก้ที่ตัวระบบ ไม่ให้อำนาจที่ตัวบุคคลจะกระทำการด้วยความรุนแรงได้โดยง่าย ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองทหารเกณฑ์ นักเรียนเตรียมทหาร และผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย ให้ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีให้ดีขึ้น
3.สัมภาษณ์อยากให้บ้านเมืองมีเลือกตั้ง แต่วันนั้นกลับบอยคอตต์
ดูจากรูปแล้ว คงหมายถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรื่องนี้มองอย่างหยาบๆ ก็คงได้แบบที่ขวดมองนี้ แต่ถ้ามองด้วยปัญญา หาความรู้มาประกอบอีกนิด จะอธิบายได้ว่า บ้านเมืองมีการบอยคอตต์การเลือกตั้ง 2 รอบ รอบแรกยุครัฐบาลทักษิณ ที่ร่วมมือกับ กกต.ชุด “สามหนาห้าห่วง” จัดการเลือกตั้งโดยใช้เงื่อนเวลาเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ การบอยคอตต์การเลือกตั้งจึ้งเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่เฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีพรรคอื่นๆ ร่วมบอยคอตต์ด้วย เพราะรับกับการจัดการเลือกตั้งที่ “ส่อว่าจะไม่เป็นธรรม” ไม่ได้
การบอยคอตต์ครั้งที่ 2 เกิดในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ระหว่างที่มีการชุมนุมของ กปปส. พรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ด้วยเหตุผลว่า ประชาชนจำนวนมาก ขอให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือนอยากเห็นการปฏิรูปดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน และการเลือกตั้งนั้น เกิดจากการยุบสภาหนีความผิดของคุณยิ่งลักษณ์ ที่เอาเสียงส่วนใหญ่ของสภาไปออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ด้วยวิธีที่เลวทรามและมีเนื้อหาทำลายหลักนิติรัฐ-นิติธรรม การยุบสภาหนีปัญหา เป็นการเอาตัวรอดที่เลวร้าย ทั้งๆ ที่สภาไม่ได้ผิดอะไรด้วย มีแต่พรรคเพื่อไทยกับผู้กำกับการประชุมเท่านั้น ที่ส่อว่าจะรู้กัน และปิดกั้นการอภิปรายของฝ่ายเสียงข้างน้อย จากนั้นมาประกาศยุบสภาหมายใช้การเลือกตั้งฟอกผิดตัวเอง
“ขวด” หรือคนอื่น อาจไม่เห็นด้วยกับเหตุผลดังกล่าวก็ไม่เป็นไร แต่ต้องแยกแยะรายละเอียดของ “เหตุการณ์” กับ “หลักการ” ให้ได้ ไม่ตีขลุม ไม่มองอย่างตื้นๆ
ทีนี้ การบอยคอตต์ในตอนนั้น กับการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งในตอนนี้ มันย้อนแย้งกันอย่างไรหรือ ในเมื่อบริบท องค์ประกอบของเหตุการณ์ และกาลเวลาต่างกันโดยสิ้นเชิง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้กำหนด “โรดแมป” เอง ว่าจะเลือกตั้งเมื่อนั้นเมื่อนี้ ต่อมาก็กำหนดซ้ำด้วยรัฐธรรมนูญแล้วมาถูกแทรกแซงให้คลาดเคลื่อนเลื่อนไปด้วยคำสั่ง คสช. บ้าง ด้วยบทเฉพาะกาลของ สนช. ที่ยัดเข้ามาทีหลังบ้าง การเรียกร้องความชัดเจนว่าจะมีเลือกตั้งไหม จะมีเมื่อไหร่ จึงทำได้โดยชอบ เพราะความชัดเจนนั้น เป็นความชัดเจนบนการ “เคารพรัฐธรรมนูญ” และสัจจะวาจาของตนเอง ตลอดจนความเชื่อมั่นเชื่อถือของสังคมโลก
เช่น ตอนประกาศใช้รัฐธรรมนูญเสร็จ โรดแมปชัดมาก เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้หมด สหภาพยุโรปก็มาพบรัฐบาลทันที พร้อมที่จะคืนความสัมพันธ์และกติกาทางการค้า-การทูต
ดังนั้นแล้ว การออกมาขอความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้ง จึงมิได้ย้อนแย้งกับการเคยบอยคอตต์การเลือกตั้งเลยสักนิดซึ่งก็มาจบด้วยภาพสุดท้ายของ “ขวด” นั่นแหละ ว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” แต่มันก็นาน และไม่เคยมีเวลาที่ชัดเจนเสียที เลื่อนจนคนไม่เชื่อแล้วว่า ต้นปีหน้า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้น
เอาครับ ที่พูดมาทั้งหมดนั้น เพื่อจะบอกกับประชาชนว่า จงหนักแน่น จงใช้ปัญญา วางอคติลงซะ แล้วเราจะรู้เท่าทันปัญหา ทันโลก ทันสื่อ และทันคน เราจะแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องขัดแย้งกันอย่างไรเหตุผลง่ายๆ อีก!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี