วงการสื่อในสังคมปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ
มีทั้งการแข่งขันเชิงธุรกิจตามช่องทีวีดิจิทัลต่างๆ ช่องทีวีดาวเทียมๆ ไหนจะมีสื่อสังคมออนไลน์ ที่นับวันทวีบทบาทและอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคมมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แต่ถึงวันนี้ แม้จะมีการพูดถึงการปฏิรูปในด้านต่างๆ ก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงรูปธรรมในเชิงการปฏิรูปสื่อ
1. สื่อในฐานะ “กระจก” สะท้อนความจริงให้สังคมเห็น ทำหน้าที่บิดเบี้ยวหรือไม่?
ในรายการข่าวตามทีวีช่องต่างๆ มีการสอดแทรกความเห็นส่วนตัวของผู้ดำเนินรายการไปกับเนื้อหาข่าว โดยไม่แยกแยะให้คนดูตระหนักว่าอันไหนคือข่าวสารข้อเท็จจริง อันไหนคือความเห็นส่วนตัวของผู้ดำเนินรายการ บ่อยครั้งปะปน คลุกเคล้า มั่วไปหมด
ในวงการหนังสือพิมพ์ ดูง่ายๆ ข่าวหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์แต่ละสำนักก็จะมีการนำเสนอข่าวพาดหัว ด้วยสำนวนถ้อยคำและภาพข่าว ที่มีลักษณะชี้นำ กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกแตกต่างกันไป ทั้งๆ หลายครั้ง เป็นข่าวที่มีเนื้อหาตื้นลึกไม่ต่างกัน
2. สื่อในฐานะ “ตะเกียง” ส่องสว่าง เปิดเผยความจริง และจุดปัญญาให้แก่สังคม
บทบาทของสื่อในด้านนี้ จะต้องมีจุดยืน ตรงไปตรงมา กล้าตรวจสอบ ตีแผ่ วิเคราะห์เจาะลึก เพื่อส่องสว่างให้คนในสังคมมองเห็นแก่นแท้ของปัญหา โดยเมื่อแสงสว่างส่องเข้าไป ก็จะทำให้ผีร้าย หรือคนทุจริตประพฤติมิชอบทั้งหลายเกิดความยำเกรงที่จะกระทำผิด หรือทำให้พฤติกรรมเลวร้ายถูกประจานต่อสังคม นำไปสู่การดำเนินการตามที่ควรจะเป็นต่อไป
3. สื่อในฐานะ “โรงเรียนของสังคม”
ลองคิดดู คนเราไปเรียนรู้ในโรงเรียนราว 20 ปี แต่ใช้เวลาอยู่โรงเรียนจริงๆ แค่ 1 ใน 4 ของแต่ละวัน แต่ใช้เวลาเรียนรู้จากสื่อมากกว่านั้นเยอะ
ตั้งแต่ตื่น พัก กินข้าว รถติด หลังข้าวเย็น ก่อนนอน ฯลฯ
เรียกว่า ตลอดอายุขัย 80 ปี ใช้เวลาอยู่กับโรงเรียนจริงๆ แค่ 7-8 ปี ที่เหลืออยู่กับสื่อ
เพราะฉะนั้น สื่อจึงมีโอกาสแทรกซึม แทรกทั้งอารมณ์ความรู้สึก และค่านิยมความคิดความอ่านเข้ามาสู่ผู้คนได้มากกว่าการเรียนการสอนโนโรงเรียน
หากประเทศใดต้องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้เป็นคนที่มีสติปัญญา ความรู้ มีความคิดวิเคราะห์ มีค่านิยมที่ดีบนพื้นฐานศีลธรรมจรรยา ก็จำเป็นต้องเน้นบทบาทของสื่อในฐานะ “โรงเรียนของสังคม” คือ ให้ความรู้ ข้อมูล นำพาผู้คนให้คิดเป็น คิดถูกต้อง ต่อข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่หลั่งไหลและการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่
ตรงกันข้าม ปัจจุบัน สื่อบ้านเราเน้นบทบาทนี้น้อยมาก
ส่วนมากต้องหนีตายในทางธุรกิจ จัดรายการหาเงินโฆษณา ร้องเพลง ละคร บันเทิง เกมโชว์ ฯลฯ โดยที่ภาครัฐมีบทบาทในการเข้าไปสนับสนุนสื่อให้ทำหน้าที่ “โรงเรียนของสังคม” น้อยมาก
4. ผู้มีอิทธิพลต่อสื่อ คือ ใคร?
แน่นอนว่า คือ เจ้าของสื่อ
ความเป็นเจ้าของสื่อนั้นคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ ผู้ครอบครองคลื่นความถี่เดิม ได้แก่ หน่วยงานรัฐ แต่เมื่อมีรัฐธรรมนูญ 2540 มีกฎหมายลูกให้จัดสรรคลื่นความถี่เสียใหม่ แต่หลังจากนั้น จนแล้วจนรอด หน่วยงานของรัฐที่ครอบครองคลื่นความถี่หลักๆ ก็ยังไม่ยอมคายคลื่นความถี่ออกมาเสียที
ไม่ว่าจะเป็น กรมประชาสัมพันธ์ อสมท หรือกองทัพ ยังได้ถือครองคลื่นและแสวงหาผลประโยชน์ต่อไป
แม้จะมีการประมูลจัดสรรคลื่นทีวีดิจิทัล แต่ปัจจุบัน ธุรกิจทีวีดิจิทัลก็มีปัญหากันระนาว
ผู้ประกอบการบางรายล้มหายตายจาก
บางรายอยากล้ม อยากจบ แต่ยังจบไม่ลง
บางรายอยากขาย แต่ยังขายไม่เสร็จ
อำนาจหน้าที่ในการจัดสรรจัดการคลื่นความถี่ทั้งหลาย อยู่ในมือของ กสทช. แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่าจะได้ทำหน้าที่นั้นอย่างสมบูรณ์เพียงพอ ทำให้สื่อไม่มีการกระจายออกไปจากมือของหน่วยงานรัฐ
คลื่นวิทยุจำนวนมาก ยังอยู่ในมือรัฐ ทำให้การนำเสนอข้อมูลข่าวสาร บางส่วนอาจยังเกรงใจผู้มีอำนาจในแต่ละช่วง เพราะสามารถถูกบอกเลิกสัญญา หรือยกเลิกการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้ง่ายๆ
ส่วนวิทยุชุมชน สื่อของชุมชน ก็ถูกฝ่ายการเมืองพาเหรดเข้าไปยึดครอง ลดคุณค่าลงมาเป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมือง
สีเสื้อไปก่อนหน้านี้ ทำให้วิทยุชุมชนดีๆ ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
5. ความเป็นอิสระของสื่อ ยุคนี้รัฐแทรกแซงทางตรงน้อยลง
สมัยก่อน จะมี กบว. ทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี-แม่รู้ดี คอยเซ็นเซอร์ว่าอะไรออกอากาศไม่ได้
สมัยนี้ หน่วยงานภาครัฐแทรกแซงโดยตรงน้อยลง
แต่อำนาจที่เข้ามาแทรกแซงครอบงำมากกว่า คือ อำนาจทุน
อำนาจทุน มี 2 ทาง คือ ทุนเจ้าของสื่อนั้นโดยตรง เพราะปัจจุบัน มีทุนยักษ์ใหญ่เข้ามายึดครองสถานีโทรทัศน์เองหลายราย
อีกทางหนึ่ง คือ ทุนสปอนเซอร์ หรือธุรกิจที่มาลงโฆษณา ซึ่งอาจจะนำมาทั้งความเกรงใจ เซ็นเซอร์ตัวเอง ทำให้ไม่สามารถพูดเรื่องที่กระทบกับผลประโยชน์ของสปอนเซอร์รายการได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะกลัวเขาถอนโฆษณา หรืออาจจะมีการขอกัน ว่า เรื่องโน้นเรื่องนี้ เบาๆ หน่อยนะ
เมื่อสื่อไม่เสรี ธุรกิจมีอิทธิพล (ซึ่งไม่ใช่เพิ่งมามีปัญหายุครัฐบาล คสช.) ทำให้กระจกไม่สะท้อนความจริง ตะเกียงไม่
ส่องสว่างเจิดจ้าเท่าที่ควร
6. ปัจจุบัน น่าสังเกตว่า ธุรกิจขนาดใหญ่เข้ามาซื้อสถานีทีวีดิจิทัลหลายราย
บางราย ซื้อมากกว่า 1 ช่อง
บางราย ทราบว่าดิ้นรนให้ทุนต่างชาติ อาศัยนอมินีเข้ามา
กลุ่มที่ขยับเข้ามาถือครองสื่อทีวีในปัจจุบัน คือ กลุ่มที่มีเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ ใช้รูปแบบคล้ายๆ กัน โดยอาศัยเครือข่ายธุรกิจในเครือมาลงโฆษณา ซื้อขายกันเองในกลุ่ม จึงมีการใช้สื่อไปเป็นเครื่องมือในทางธุรกิจที่อยู่ในเครือข่าย ขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มไหนทำธุรกิจอะไรบ้าง
เพราะฉะนั้น จะคาดหวังให้ทีวีบางช่อง วิพากษ์วิจารณ์ธุรกิจโรงพยาบาล หรือธุรกิจสุรา หรือธุรกิจเกษตรผูกขาด
จึงไม่เคยเกิดขึ้น แล้วสื่อทีวีเหล่านี้ก็ตกเป็นเครื่องมือเครือข่ายของธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่างเต็มตัว
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี