ที่ผ่านมา ผมเองได้รับเชิญให้ไปบรรยายเรื่องความเป็นพลเมืองในระบอบเสรีประชาธิปไตยของราชอาณาจักรอยู่หลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดเป็นที่จังหวัดสมุทรสงคราม โดยผู้เข้าร่วมรับฟังประกอบไปด้วย ครู นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาโท-เอก ฝ่ายปกครองท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และองค์กรภาคประชาชน รวมทั้งข้าราชการเกษียณอายุที่ยังสนใจเรื่องบ้านเมือง
ผมเริ่มต้นด้วยการบอกกล่าวว่า เป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องพยายามอ่านและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ 5 - 6 มาตราแรก โดยใจความว่าด้วยความเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียวที่แบ่งแยกมิได้
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุข โดยอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจ (ในนามของปวงชนชาวไทย) ผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี(รัฐบาล) และคณะศาล ซึ่งองค์กรเหล่านี้ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ และหลักนิติธรรม เพื่อความผาสุกของประชาชนโดยรวม
ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ต้องได้รับการส่งเสริมคุ้มครองอย่างเสมอภาค ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเสมอกัน
กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด กฎหมายใดขัดมิได้ และเมื่อใดที่ไม่มีบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญบังคับใช้ ก็ให้ใช้ขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติ
หลังจากกล่าวสรุปเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ 5 มาตราดังกล่าวแล้ว ผมก็ถือโอกาสแจกจ่ายสำเนาให้ด้วย
ที่ผมเน้นบททั่วไปนี้ ก็เพราะเห็นว่าเป็นหัวใจของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่บ่งบอกซึ่งโครงสร้าง อำนาจ ผู้ใช้อำนาจ และสิทธิเสรีภาพของพลเมือง และความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายเป็นสำคัญ
จากนั้นก็เป็นการกระตุ้นความสนอกสนใจต่อหัวข้อบรรยาย โดยชี้ให้เห็นว่าการเป็นพลเมืองนั้น ไม่ใช่เรื่องไกลตัวของแต่ละคน ผมจึงเริ่มประเด็นที่ครอบครัว โรงเรียน วัด ไปจนถึงการปกครองในระดับท้องถิ่น จังหวัด และประเทศชาติ
โดยผมแจงว่า การอยู่ร่วมกันนั้นมีการปกครอง หรือมีรูปแบบหลักๆ อยู่ 2 รูปแบบ คือแบบอนุรักษ์นิยม กับแบบหัวก้าวหน้า หรือแบบอำนาจเป็นที่ตั้ง กับแบบร่วมกันใช้อำนาจ หรือร่วมคิดร่วมทำ
แบบแรก ก็จะไปในทิศทางของอำนาจอยู่ที่คน หรือกลุ่มคนเล็กๆ แล้วก็สั่งการลงไปที่ลูกบ้าน ลูกน้อง เช่น บิดาหรือมารดา เป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วสั่งการและตัดสินใจความเป็นไปของครอบครัวแต่ผู้เดียว สภาพการณ์นี้ก็จะขยายไปได้ถึง ผู้อำนวยการโรงเรียนกับผู้อำนวยการ วัดกับเจ้าอาวาสวัด นายอำเภอผู้ว่าราชการจังหวัด นายกรัฐมนตรี สังคมแบบนี้อยู่กันได้ด้วยการสั่งการ ผู้ด้อยอาวุโส ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ก็แค่รับคำสั่ง แล้วนำไปปฏิบัติตามนั้น มิได้มีสุ้มมีเสียงแต่อย่างใด
ส่วนรูปแบบที่สอง ก็คือครอบครัวทั้งหมดมีการปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ และร่วมกันทำ รูปแบบก็ขยายไปได้ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน ที่วัด ที่องค์การการปกครองระดับต่างๆ ไปจนถึงที่บริษัทห้างร้าน และองค์กรการกุศล หรือสาธารณประโยชน์ต่างๆ
ระบบแรก ก็จัดได้ว่าเป็นระบบเผด็จการ คืออำนาจกระจุกตัว ปราศจากการมีส่วนร่วม ปราศจากการได้ร่วมใช้อำนาจอธิปไตย
ระบบหลัง เป็นระบบเปิด หรือระบอบเสรีประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียม เสมอเหมือนกัน และฉะนั้น จึงมีสิทธิ หน้าที่ ร่วมรับผิดชอบในเรื่องต่างๆ ร่วมกัน สะท้อนการร่วมเป็นเจ้าของและร่วมรับผิดชอบ
ในระบบแรก เป็นการสั่งการลงมา ส่วนในระบบหลัง เป็นการใช้ความเห็นพ้องร่วมกัน หรือนัยหนึ่งระบบแรกเป็นการอยู่ร่วมกันแบบแนวดิ่ง ส่วนระบบที่สองเป็นระบบแนวราบ
เมื่อได้กล่าวเช่นนี้แล้ว ผมก็ฝากการบ้านให้ผู้เข้าร่วมสัมมนานำไปคิดและทดลองปฏิบัติ ตั้งแต่ที่ครอบครัว ที่โรงเรียน ไปจนถึงที่ทำงานต่างๆ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง จักต้องเปิดใจให้กว้าง เปิดเวทีการหารือ และพยายามให้มีข้อยุติร่วมกัน
ประชาธิปไตยต้องเริ่มและต้องเข้มแข็งที่ฐานราก หรือที่ระดับรากหญ้า
ศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ก็คือ การคิดเป็น ทำเป็น แบบร่วมกันทำ และไม่รอคำสั่ง ไม่แบมือขอใบบุญจากระดับบนกันอีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน ระดับบนก็ต้องโอนตัวลงมาหาความรู้ ร่วมคิด ร่วมทำกัน สังคมทุกระดับก็จะมุ่งหน้าไปได้อย่างมั่นคง เพราะมีความเป็นประชาธิปไตยเป็นกรอบ และเป็นหนทางให้ไว้
การบรรยายที่ผ่านๆ มา ก็ดูไม่สูญเปล่า เพราะช่วงพัก ก็มักจะมีผู้รับฟังเข้ามาสอบถามเพิ่มเติม รวมทั้งมีคำมั่นสัญญาว่า จะนำความไปสานต่อ ในทำนองให้มีการเริ่มพูดคุย ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจกัน
แน่นอนว่า ความไม่คุ้นเคยกับการแสดงออก ก็เกิดความเกรงอกเกรงใจ ไปจนถึงความเกรงกลัว หวาดกลัวต่อผู้มีตำแหน่ง มีอำนาจสูงกว่า ก็ยังมีอยู่อย่างกว้างขวางในสังคมไทย แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญให้สิทธิและหน้าที่ และทุกคนมีความเสมอภาค และทุกคนต่างร่วมเป็นเจ้าของ “อธิปไตย” ในทุกระดับ แล้วก็ควรได้รับสิทธิและเรียกร้องการใช้สิทธิ และเริ่มทดลองใช้สิทธิพลเมืองประชาธิปไตย และถ้าไม่เริ่มกันที่บ้าน และสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวแล้ว ก็คงจะเป็นการยากลำบากที่ไทยเราจะเปลี่ยนรูปโฉมเป็นสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์แบบได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี