มอง ‘เค้าโครงการเศรษฐกิจของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์’ และ
‘จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอนของท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์’ ในปัจจุบัน ตอนที่ 3
สาระสำคัญหลักของเค้าโครงการเศรษฐกิจ สรุปได้ดังภาคผนวกที่ได้ลงมาแล้วในตอนที่ 2 จะเห็นได้ว่า แนวคิดที่อาจารย์ปรีดี นำเสนอสอดคล้องกับเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคง/เสถียรภาพ ความเท่าเทียม และประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
อาจารย์ปรีดี ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเสนอให้รัฐบาลประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรตั้งแต่เกิดจนสิ้นชีพ เนื่องจากเหลือวิสัยที่เอกชนจะทำได้หรือหากทำได้ราษฎรจะต้องเสียค่าประกันแพงจึงจะคุ้ม ดังนั้นจึงต้องมีกฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องจ่ายเงินให้ราษฎรในจำนวนเงินที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต การให้รัฐจัดการเศรษฐกิจให้มีการใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์เพื่อไม่ให้เกิดการว่างงานจากการที่เครื่องจักรและเทคโนโลยีช่วยประหยัดแรงงานเนื่องจากรัฐสามารถจัดหาคนไปทำงานอย่างอื่นได้หรือลดชั่วโมงการทำงานลงเพื่อให้คนมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นหรือไปทำงานในกิจการสาธารณะมีการสร้างเสถียรภาพการคลังและการเงิน โดยจัดให้รายจ่ายและรายได้เข้าสู่ดุลยภาพการจัดให้มีธนาคารแห่งชาติ รวมทั้งจัดการกสิกรรมและอุตสาหกรรมทุกอย่างให้มีขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยต่างประเทศ เพื่อป้องกันอันตรายจากการปิดประตูทางการค้า และให้ประเทศไทยมีเอกราชในทางเศรษฐกิจ
อาจารย์ปรีดี ยังคำนึงถึงประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย โดยเสนอให้ราษฎรวัยแรงงานเป็นข้าราชการเพื่อให้แรงงานใช้ประโยชน์ได้ตลอดปี การให้เงินเดือนแตกต่างกันตามคุณวุฒิ ความสามารถ และยกเว้นให้บางคนไม่ต้องรับราชการเมื่อแสดงให้เห็นว่าสามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ การให้รัฐจัดการเศรษฐกิจเนื่องจากการรวมกันทำจะประหยัดต้นทุนมากกว่า การปล่อยให้เอกชนต่างคนต่างทำจะใช้แรงงานสิ้นเปลืองกว่ารวมกันทำการรวมที่ดินให้ผลดีทางวิทยาศาสตร์ การให้รัฐซื้อที่ดินกลับคืนเพื่อวางแผนการใช้ที่ดิน เครื่องจักรกล การทำคูน้ำทำได้ง่ายและประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก การให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการนำเครื่องจักรมาใช้จะช่วยเพิ่มผลิตภาพแรงงาน และการรับรองกรรมสิทธิ์ของเอกชน และกรรมสิทธิ์แห่งการคิดประดิษฐ์คิดค้น
และที่สำคัญอย่างยิ่ง สาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจเป็นการสร้างความเป็นธรรมเนื่องจากราษฎรไม่มีทุนและที่ดินเพียงพอ ขาดเครื่องจักรกล การให้รัฐเป็นผู้วางแผนเศรษฐกิจและแบ่งการประกอบการเศรษฐกิจครบรูปเป็นสหกรณ์สมาชิกร่วมกันผลิต (โดยรัฐบาลเป็นผู้ออกที่ดินและทุน และสมาชิกสหกรณ์เป็นผู้ออกแรง) จำหน่าย ขนส่ง จัดหาของอุปโภคให้แก่สมาชิก และร่วมกันในการสร้างสถานที่อยู่ ทั้งนี้การจัดให้สหกรณ์มีการปกครองตามแบบเทศบาลย่อมทำได้สะดวกทำให้ประชาชนได้เข้าถึงที่ดิน ทุน และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้นทำให้ราษฎรที่อยู่ในพื้นที่ชนบทสามารถเพิ่มผลิตภาพการผลิต ได้รับส่วนแบ่งจากมูลค่าเพิ่มอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และหลุดพ้นจากอิทธิพลของนายทุน และการแบ่งการประกอบการเศรษฐกิจเป็นสหกรณ์ยังเป็นการเตรียมพร้อมให้มีการปกครองในรูปแบบเทศบาล นอกจากนี้อาจารย์ปรีดีได้เสนอวิธีการหาเงินทุนรัฐบาลด้วยการเก็บภาษีมรดก ภาษีทางอ้อม เพื่อไม่ให้ราษฎรเดือดร้อนมาก
อาจารย์ปรีดี ยังได้เสนอแนวทางการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศแบบก้าวหน้าที่ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญ ในการคำนวณความต้องการของราษฎรในเรื่องปัจจัยแห่งการดำรงชีวิต และประมาณการปัจจัยที่ดิน แรงงาน เครื่องจักรกล และทุนที่ต้องใช้ กำหนดประมาณการว่าปีหนึ่งรัฐบาลจะทำได้อย่างไร ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นนักเศรษฐศาสตร์จึงจินตการว่าอาจารย์ปรีดีได้เสนอให้มีการสร้างแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ในการวางแผนเศรษฐกิจ โดยการกำหนดฟังก์ชั่นการผลิตที่ผลผลิตขึ้นอยู่กับปัจจัยการผลิต ประกอบด้วย ที่ดิน แรงงาน เครื่องจักรนอกจากนี้ อาจารย์ปรีดียังให้รัฐบาลมีความรับผิดรับชอบ (Accountability) ในแผนพัฒนาฯ โดยแจ้งผลการกระทำต่อมหาชนทุกสัปดาห์
โดยสรุป อาจารย์ปรีดี ได้เสนอ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” เพื่อเป้าประสงค์ที่จะวางรากฐานเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เข้มแข็งในการบรรลุภารกิจในหลักหกประการ ดังที่เขียนไว้ในหมวดสุดท้าย “ผลสำเร็จอันเกี่ยวแก่หลัก 6 ประการ” ได้แก่ เอกราช ความสงบเรียบร้อยภายในสังคม การเศรษฐกิจ ความเสมอภาค เสรีภาพ และการศึกษา
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่เค้าโครงการเศรษฐกิจไม่ได้ถูกนำมาพิจารณา เนื่องจากได้มีการประณามกล่าวหาอาจารย์ปรีดีว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” และบังคับให้หลวงประดิษฐ์ฯ เดินทางออกนอกประเทศ ต่อมาได้มีการสอบสวนหลวงประดิษฐ์ฯ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ ซึ่งความเห็นของกรรมาธิการเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้รับรองว่าหลวงประดิษฐ์ฯ ไม่มีมลทินในเรื่องที่ถูกกล่าวหา (อ่านรายละเอียดได้ในรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 24/2476 (สามัญ) สมัยที่ 2)ซึ่งหากพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจจะเห็นได้ว่า ไม่ได้เป็นแนวคิดคอมมิวนิสต์ดังที่ถูกกล่าวหา เนื่องจากไม่มีการริบที่ดินของผู้มั่งมี แต่รัฐยังรับรองกรรมสิทธิ์ของเอกชนที่มีอยู่เดิม และยอมรับกรรมสิทธิ์แห่งการประดิษฐ์คิดค้นของบุคคล ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญของการสร้างนวัตกรรมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน มีข้อยกเว้นให้เอกชนประกอบการเศรษฐกิจกรณีได้รับสัมปทานจากรัฐบาล และยกเว้นการรับราชการให้กับคนที่แสดงได้ว่า “มีฐานะที่จะเลี้ยงตัวเอง” และครอบครัว
ผศ.ดร.อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี