“2 นคราประชาธิปไตย”, “คนชนบทตั้งรัฐบาล-คนเมืองล้มรัฐบาล” เป็นคำกล่าวที่ได้ยินกันมานานและยังคงดำรงอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงยังเป็นสาเหตุของ “ความขัดแย้ง” ระหว่างคนในสังคมไทย 2 กลุ่มคือ “ชนชั้นกลางค่อนไปทางระดับล่าง-ชนชั้นล่างหรือรากหญ้า” กับ “ชนชั้นกลางระดับบนขึ้นไป” คนทั้ง 2 กลุ่ม จะมีมุมมองที่แตกต่างกัน นำมาสู่รสนิยมในการเลือกผู้ปกครองประเทศ และการเรียกร้องนโยบายต่อภาครัฐที่ไม่เหมือนกัน
ซึ่งหากมองอย่างเข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย จะพบว่ามันคือปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ” คนระดับล่างหรือกลางค่อนล่างยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นธรรมดาที่ต้องคิดถึงปากท้อง ต้องกินอิ่มก่อนรายได้มั่นคงก่อนจึงมักกระทบกระทั่งกับคนระดับกลางค่อนบนขึ้นไปที่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจพอสมควร ทำให้คิดถึงชีวิตที่ดีในมิติอื่นๆ เช่น นโยบายรัฐที่จัดสภาพแวดล้อมให้สวยงามเป็นระเบียบ การใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า ซึ่งคนกลุ่มหลังก็มีจำนวนไม่น้อย
ที่เวทีเสวนา “ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจกับการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม” จัดโดยคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ในฐานะประธาน ครป. กล่าวว่า ประเทศที่ความเป็นประชาธิปไตยเข้มแข็งคนชั้นกลางต้องเป็นคนจำนวนมาก แต่สังคมใดจะมีชนชั้นกลางเป็นจำนวนมากได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการผูกขาดทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญ หากผูกขาดมากโอกาสที่คนจะเลื่อนสถานะชนชั้นก็ยากไปด้วย
อาจารย์พิชาย ระบุว่า ตลอดห้วงประวัติศาสตร์การเมืองไทย มีคนเพียง 2 กลุ่มเท่านั้นที่ผลัดกันขึ้นสู่อำนาจ คือ 1.ช่วงรัฐบาลเลือกตั้ง ในรัฐสภาและรัฐบาลจะเต็มไปด้วย “กลุ่มทุนนักเลือกตั้ง” ระดมเอาญาติมิตรพวกพ้องในเครือข่ายเดียวกันเข้าไปร่วมวงอำนาจ การเมืองแบบนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่า “การเมืองแบบเงินตรา” เอาเงินเป็นตัวตั้งมากกว่าอุดมการณ์ทางการเมือง กับ 2.ช่วงรัฐบาลรัฐประหาร ในรัฐสภาและรัฐบาลจะเต็มไปด้วย “ทหาร-ข้าราชการ” ทั้งที่กำลังรับราชการในขณะนั้นและอดีตข้าราชการที่เกษียณอายุไปแล้ว
แต่นั่นเป็นเพียง “การเมืองหน้าฉาก” ที่เห็นได้ชัดว่าใครเป็นใครเกี่ยวพันกับใคร เพราะยังมีคนอีกกลุ่มคือ “กลุ่มทุนชักใย” ที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลนักการเมืองเลือกตั้งหรือรัฐบาลเผด็จการทหาร “กลุ่มทุนชักใยจะสนับสนุนขั้วอำนาจทุกกลุ่ม” เพื่อที่จะมีบทบาทในการร่วมกำหนดนโยบายที่จะออกมาโดยภาครัฐ“มีอำนาจตลอดกาลทุกยุคสมัย” ซึ่งทราบกันดีว่ากลุ่มนี้มีไม่กี่ตระกูลในประเทศไทย
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่นโยบายรัฐบาลไทยกี่ยุคกี่สมัยจะมีสิ่งที่เหมือนกันคือ “มุ่งเน้นสนับสนุนกลุ่มทุนขนาดใหญ่เป็นหลัก” ซึ่งอาจารย์พิชาย กล่าวว่า เรื่องนี้พบได้ตั้งแต่การลดหรือยกเว้นภาษีให้ทุนใหญ่ ไปจนถึงการพยายามทำให้ขั้นตอนการจดทะเบียน-ขออนุญาตเริ่มต้นประกอบกิจการต่างๆ “ยุ่ง-ยาก-เยอะ” เข้าไว้ ส่งผลให้ “หน้าใหม่แทบหมดสิทธิ์เกิด” เพราะถูกกีดกันจากกระบวนการเหล่านี้จนยากจะเข้าไปแข่งขันกับหน้าเก่าที่อยู่เดิมได้
รวมถึงยังมี “สิ่งที่ผู้ถืออำนาจรัฐควรทำ..แต่สภาพที่เป็นอยู่ทำให้ไม่ทำ” อาทิ 1.กฎหมายต่อต้านการผูกขาดทางการค้า แม้ไทยจะมีกฎหมายดังกล่าวมีตั้งแต่ปี 2542 แต่ไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง 2.กฎหมายปฏิรูปการถือครองทรัพย์สิน ในไทยมีการพูดถึงกันมากแต่ยังไม่มีการผลักดันออกมา หรือที่ออกมาแล้วก็ดูจะไม่ส่งผลอะไรมากกับผู้ครอบครองทรัพย์สินมหาศาล และ 3.การกระจายอำนาจและกลไกตรวจสอบ เรื่องนี้แม้ รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 จะวางรากฐานไว้ แต่สุดท้ายก็ถูกการเมืองแบบผูกขาดครอบงำจนได้
“สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเชื่อมโยงสัมพันธ์กันไปสู่วงจรแห่งความวิบัติ มันทำให้สังคมไทยเกิดความเหลื่อมล้ำสูง เกิดความขัดแย้งทางสังคมที่ฝังรากลึก แล้วทั้งหมดก็จะมีศักยภาพที่จะนำไปสู่ความรุนแรง อันนี้คือภาพโดยรวมของสังคมไทยที่ผ่านมา ซึ่งพอจะเห็นเค้าลางว่าถ้าหากไม่สามารถทะลวงวงจรแห่งความวิบัตินี้ออกไปได้ ทลายการผูกขาดทั้งเศรษฐกิจและการเมืองไปได้ อนาคตของประเทศไทยก็จะไม่มั่นคง ไม่มั่งคั่ง และไม่ยั่งยืน” อาจารย์พิชาย กล่าวย้ำ
ข้อสันนิษฐานข้างต้นของนักวิชาการ ได้รับการสนับสนุนอีกเสียงโดย คำนูณ สิทธิสมาน กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ชวนตั้งข้อสังเกตว่า หากตัดประเด็นการเมืองประเภทแบ่งสีแบ่งข้างออกไป จะพบว่ารัฐบาลไทยในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมาแม้จะมีหลายพรรคหลายขั้ว แต่กลับมีนโยบายบางเรื่องแทบจะไม่แตกต่างกัน ได้แก่ 1.เขตเศรษฐกิจพิเศษ 2.แปรรูปรัฐวิสาหกิจ 3.โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม 4.นโยบายด้านพลังงาน 5.นโยบายด้านตำรวจ และ 6.ระบบพรรคการเมือง
“สิ่งที่อยากจะชวนคิด บางทีบ้านเรามันถูกวาทกรรมการต่อสู้ระหว่างสีบดบังสารัตถะที่ไม่ว่าจะเป็นสีไหนขึ้นมาเป็นรัฐบาล ไม่เคยมีการเปลี่ยนเลย และทิศทางมันมุ่งไปในทางทิศทางเดียวตลอด ทิศทางที่จะมุ่งให้ประเทศเราเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแต่เพียงด้านเดียว โดยที่ประเด็นลดความเหลื่อมล้ำก็อาจมีความพยายามทำ แต่มันได้ผลน้อย” คำนูณ ชวนตั้งข้อสังเกต
เช่นเดียวกับ กษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยกตัวอย่างหนึ่งในไทยคือ “ร้านสะดวกซื้อ” ที่เปิดกันทุกจุดที่มีชุมชนเกิดขึ้น ซึ่งก็มีคำถามว่า “ควรขายของได้สารพัดอย่างหรือไม่?”แน่นอนหากมองในแง่การแข่งขันล้วนๆ ร้านสะดวกซื้อทั้งหลายคงบอกว่ามีสิทธิในการแข่งขัน แต่หากมองในแง่ศีลธรรมหรือธรรมาภิบาล นั่นก็จะเป็นอีกประเด็นที่ต้องพิจารณา ดังเช่นใน เยอรมนี ที่มีกฎหมายห้ามไม่ให้ตั้งห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ในเขตใจกลางเมืองเพื่อปกป้องกิจการร้านค้าเล็กๆ ในชุมชน
“ร้านสะดวกซื้อไม่ควรขายลูกชิ้นปิ้งขณะที่นอกร้านสะดวกซื้อมีพ่อค้าแม่ค้ายืนขายอยู่ หรือจะเป็นข้าวแกงมันต้องมีกติกาว่าของที่จะขายในร้านสะดวกซื้อที่แต่ก่อนเป็นพวกยาสีฟันแปรงสีฟันอะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องของที่บริโภคประจำวัน มันกระทบโดยตรงต่อพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่บนท้องถนนซึ่งไม่มีทางที่จะสู้ได้ ในที่สุดก็ต้องตายจากไปให้หมด” กษิต กล่าว
ท้ายที่สุด อดีต รมว.ต่างประเทศ ยังกล่าวถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งตั้งมั่นบนความเชื่อที่ว่า“เมื่อเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่โต บริษัทยักษ์ใหญ่ร่ำรวยGDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวม) มากมาย ความมั่งมีนั้นก็จะไหลลงมาที่ข้างล่าง” เรื่องนี้ผู้วางนโยบายคงมีความจริงใจที่จะพัฒนาประเทศ แต่การพัฒนาบนความเชื่อดังกล่าวถูกต้องหรือไม่?
นั่นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี