1 ตุลาคมนี้เป็นวันเริ่มต้นของการโยกย้ายตำแหน่งต่างๆ ในรัฐบาล คสช. ในรอบสุดท้าย โดยเฉพาะตำแหน่งใน สตช. กองทัพ ตลอดจนข้าราชการระดับสูงในกระทรวงต่างๆ ที่จะดำรงตำแหน่งอยู่จนถึงการเลือกตั้ง เช่นเดียวกับงบประมาณใหม่ปี’62 ที่จะเริ่มใช่ 1 ตุลาคมนี้ที่ถือว่าเป็นงบประมาณสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ รวมถึงมีการร่างพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฉบับใหม่ เพื่อจะเตรียมใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมการทำงานและการดำเนินนโยบายของรัฐบาลหน้า เช่นเดียวกับพ.ร.บ.แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ออกมาก่อนหน้านี้
การทำงานของรัฐบาลคสช.ใกล้สิ้นสุดลง จึงทำให้หวนย้อนคิดกลับไปในวันที่รัฐบาล คสช. ทำการรัฐประหารด้วยเหตุผลความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ และที่สำคัญคือคำสัญญาว่า จะปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ ทั้งด้านการเมืองที่เป็นปัญหาแบ่งขั้วจนทำให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบด้านสังคมที่นับวันก็มีแต่จะด้อยคุณภาพ และช่องว่างคนจนกับคนรวยห่างกันทุกที ทั้งด้านโอกาสและการเข้าถึงทรัพยากร ส่งผลต่อเนื่องไปยังด้านเศรษฐกิจที่นอกจากเป็นผลกระทบจากการทุจริตของรัฐบาลก่อนที่ทำให้มีปัญหาทางเศรษฐกิจใหม่แล้วยังมีปัญหาเศรษฐกิจสะสมเดิมอยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังประกาศว่าการปฏิรูประบบราชการ หน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะตำรวจ ซึ่งตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมาหลายอย่างที่มีการดำเนินงานของ คสช. ก็เห็นผลงานเป็นที่ประจักษ์ อาทิ การสร้างความสงบสุขให้บ้านเมืองหลังความวุ่นวาย และการปฏิรูปหน่วยต่างๆ ของรัฐบ้าง แต่ก็ยังมีอีกหลายด้านที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เคยให้สัญญาเอาไว้
ถ้านับจริงๆ ผลงานเด่นของคสช.กว่า 4 ปีที่ผ่านมาที่เด่นชัดที่สุดและต้องชื่นชมก็คือ เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การปราบปรามยาเสพติด และการจัดระเบียบสังคม โดยจัดระเบียบในหลายพื้นที่โดยเฉพาะการตั้งแผงค้าริมถนน จัดระเบียบรถตู้โดยย้ายไปยังสถานีขนส่งหมอชิต การขึ้นทะเบียนวินจักรยานยนต์ รวมถึงการจัดระเบียบแรงงานข้ามชาติ แม้จะถูกวิจารณ์ว่าไม่ตอบโจทย์ที่แท้จริงของการพัฒนาก็ตาม และอีกสิ่งที่น่าชื่นชมก็คือการจัดการกับปัญหาข้าวค้างสต๊อกจากโครงการรับจำนำข้าวที่เป็นปัญหาที่สะสมมานาน ถือเป็นโจทย์หลักของคสช.ที่ต้องดำเนินการแก้ไข โดยรัฐบาลคสช.ก็สามารถที่จะระบายข้าวที่ค้างอยู่ในสต๊อกกว่า 12 ล้านตันออกไปได้ จากสต๊อกทั้งหมดกว่า 17 ล้านตัน โดยถือเป็นเรื่องที่คสช.ใช้มาตรา 44 ได้อย่างเหมาะสม หากไม่นับการใช้มาตรา 44 อีกหลายครั้งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความจำเป็นหรือไม่?
แต่ในสิ่งที่รัฐบาลคสช.สัญญาไว้ว่าจะทำแต่ก็ยังไม่คืบหน้าอย่างเช่น การปฏิรูประบบราชการ ที่ดูเหมือนทำเยอะแต่หลายคนมองว่าที่เยอะนั้นถอยหลังมากกว่าเดินหน้าหรือไม่? โดยกฎหมายที่ออกมาหลายฉบับโดยสนช.ชุดนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นที่การเพิ่มอำนาจให้ข้าราชการทั้งหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งในการเพิ่มอำนาจให้อธิบดีในหน่วยงานต่างๆ ให้มีอำนาจอนุมัติที่มากขึ้นใช่หรือไม่? หรือความพยายามจัดตั้งสำนักงานท้องถิ่นอำเภอ ทุกอำเภอทั่วประเทศรวม 878 แห่ง ตั้งงบเพิ่มต่างหาก
นอกจากนี้ยังมีการบรรจุอัตราข้าราชการเพิ่มมากขึ้น นอกจากจะเป็นการสิ้นเปลืองเพราะอาจเป็นการปฏิบัติงานซ้ำซ้อนกับราชการส่วนภูมิภาคที่มีอยู่แล้ว ยังถูกมองว่าเป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ราชการส่วนกลางอีก? จึงยากที่ท้องถิ่นจะสามารถจัดตั้งนโยบายและดำเนินงานให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่
ในขณะที่ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระตามที่ประชาชนต้องการ และคสช.กล่าวแถลงในช่วงแรกนั้นเพื่อให้การดำเนินคดีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม อย่างไรก็ตามแม้กระบวนการยุติธรรมจะผ่านการปฏิรูปด้านโครงสร้างองค์กร กระบวนการทำงาน และการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพประชาชนมาบ้างแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่คืบหน้า เพราะกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ถึงแม้คณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม จะมีการเสนอแนวทางการปฏิรูปอีก 10 ด้าน โดยแผนงานก็มาพร้อมแผนขอให้งบประมาณนับพันล้านบาท ที่ยังไม่รู้ทิศทางว่าจะเป็นการสร้างกระบวนการให้ง่ายขึ้นหรือเพิ่มภาระงานมากขึ้นกันแน่?
นอกจากนี้กระบวนการตรวจสอบทุจริตของรัฐบาลที่ดูมีระเบียบขั้นตอน ตามกฎหมายใหม่มากขึ้น แต่ก็มีข้อสังเกตต่อกรณีการยกเว้นต่างๆ ซึ่งต่างกับการตรวจสอบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำให้ความชื่นชมศรัทธากลายเป็นความสงสัยให้กับประชาชนต่อความโปร่งใสในการทำงานของรัฐบาล
อย่างไรก็ตามยังมีการปฏิรูปบางอย่างของกระบวนการยุติธรรมที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าสนใจผ่านการโยกย้ายครั้งใหญ่ในตำแหน่งอันเกี่ยวเนื่องกับกระบวนการยุติธรรมอย่างเงียบๆใช่หรือไม่? กรณีคำสั่งการย้ายสลับตำแหน่งระดับสูงกรมสอบสวนคดีพิเศษออกทั้งหมดไปสลับกับตำแหน่งของป.ป.ส. สถาบันนิติวิทยาศาสตร์กรมราชทัณท์ และกรมคุมประพฤติเพื่อหมุนเวียนคนใหม่เข้ามาทั้งหมดแทนที่ระดับสูงเดิมในดีเอสไอ ถือเป็นการโยกแบบปราบเซียนและอาจนับว่าเป็นการปฏิรูปสำเร็จในการผ่องถ่ายตำรวจออกจากดีเอสไอหรือไม่? และเปิดทางให้คนที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะทางมาทำงานในดีเอสไอ เพื่อให้เป็นองค์กรคู่ขนานกับบทบาทของภารกิจงานต่างๆ ในสตช.อย่างแท้จริง จากเดิมที่ถือว่าเอาคนจากมุมมองเดียวมาทำงานสองระบบ เรื่องนี้ขอชื่นชม
การแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ดูมีข่าวเปรี้ยงปร้างในตอนแรกอย่าง เมกะโปรเจกท์ต่างๆ โครงการรถไฟความเร็วสูงแต่จนปีสุดท้ายแล้วที่ชัดที่สุดกลับมีเพียงอีอีซี ที่ดูจะมีแววดึงดูนักลงทุนต่างชาติได้จริงเพียงโครงการเดียว? ในขณะที่งบประมาณส่วนใหญ่ที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้กลับอยู่ที่โครงการประชานิยมที่รัฐบาลนี้เรียกว่าประชารัฐอย่างโครงการกองทุนประชารัฐ บัตรสวัสดิการคนจน นโยบายลดแลก แจก แถมเหล่านี้ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่ยังไม่สร้างความแตกต่างจากสมัยรัฐบาลก่อนหน้าเท่าไหร่ เพราะความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนไทย ก็ยังสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก และจำนวนผู้ว่างงานที่เพิ่มขึ้นถึงสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับในสมัยรัฐบาลก่อนหน้าใช่หรือไม่? รัฐบาลประยุทธ์ใช้เวลาถึง 4 ปีในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจแต่ก็ดูไม่มีวี่แววจะเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะจำนวนผู้ว่างงานที่เพิ่มมากขึ้นในไตรมาสล่าสุดนี้?
ในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเลือกตั้ง เพื่อสรรหาสภาและรัฐบาลชุดใหม่ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดสุดจากการเตรียมการ กลับกลายเป็นเรื่องกฎหมายที่ใช้ในการควบคุมการทำงานรัฐบาลชุดต่อไป ในขณะที่กฎหมายและระเบียบต่างๆที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง กลับยังไม่มีความชัดเจน ทั้งในตัวกฎหมาย รูปแบบ และวันปลดล็อกต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลคสช. กลับถูกมองว่า อาจจะลงมาเป็นผู้เล่นทางการเมืองเสียเองหรือไม่? ตั้งแต่มีข่าวการจัดตั้งกลุ่มเพื่อเตรียมเข้าพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่ โดยมีรายชื่อปรากฏในข่าวทั้งคนที่สนับสนุนรัฐบาลคสช.และบางคนอาจมีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลนี้หรือไม่? ซึ่งหากเป็นเรื่องจริงแนวคิดตลอดจนความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลนี้ก็คงจะเปลี่ยนไป หากแต่ใครๆ ในรัฐบาลนี้ก็สามารถทำได้โดยไม่ผิด เพราะทุกคนก็มีสิทธิ์เป็นผู้เล่นทางการเมือง หากอยู่ภายในกติกาที่ถูกต้องเดียวกัน แต่นั่นก็จะรวมถึงการประเมินผลงานของรัฐบาลคสช.ในสายตาประชาชนที่จะถูกนำไปเปรียบเทียบ
กับผู้เล่นทางการเมืองจากพรรคต่างๆ ซึ่งแตกต่างกับมุมมองของประชาชนที่เคยมองรัฐบาลคสช.เป็นเพียงรัฐบาลชั่วคราว
“...คนเกียจคร้านย่อมมีเหตุผลข้ออ้างอย่างเปี่ยมล้น...”
คำคมโกวเล้งจากเรื่องวีรบุรุษสำราญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี