หลักการการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เป็นที่ยอมรับในสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นการปกครอง “ของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” จากหลักการดังกล่าวซึ่งถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของการปกครองระบอบนี้ และเมื่อนำไปสู่การปฏิบัติจะพบว่าในสังคมประชาธิปไตยนั้น ประชาชนย่อมมีความคิดและสามารถแสดงออกทั้งทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม แม้มีความแตกต่างกันได้จึงจะเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง ในอดีตสังคมประชาธิปไตยเริ่มจากการเป็นประชาธิปไตยโดยตรง
กล่าวคือ ประชาชนทุกคนในสังคมมาร่วมประชุมและออกเสียงในการปกครองเลือกตัวแทนในการบริหาร ครั้นสังคมขยายตัว เพราะมีประชาชนมารวมตัวกันมากขึ้นจนไม่สามารถจัดประชุมในคราวเดียวกันได้ แต่เพื่อไม่ให้เสียหลักการแห่งประชาธิปไตยจึงมีการคัดเลือกตัวแทนของกลุ่มโดยให้ตัวแทนเหล่านั้นมาร่วมเป็นผู้บริหาร จากหลักการดังกล่าวได้พัฒนาสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย ตัวแทนซึ่งพัฒนาจากกลุ่มไปสู่ “พรรคการเมือง”
พรรคการเมืองดังกล่าวในแต่ละสังคมอาจแตกต่างกันไปตามแต่วิวัฒนาการของแต่ละชุมชน หรือต่อมาเรียกว่า “ประเทศ” ซึ่งบางประเทศมีการเมืองระบบสองพรรค หรือบางประเทศใช้ระบบหลายพรรค ทั้งระบบสองพรรคหรือระบบหลายพรรคเมื่อเข้าสู่ระบบการปกครองของประเทศก็จะแบ่งเป็นฝ่ายปกครอง คือ รัฐบาลกับฝ่ายตรวจสอบคือ ฝ่ายค้าน แต่ทั้งสองฝ่ายนั้นอาจมีที่มาจากพรรคการเมืองเดียวหรืออาจมีที่มาจากกลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองหลายพรรคก็ได้ ไม่มีข้อห้าม
อย่างไรก็ดี ในสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง (มิใช่ประชาธิปไตยฟันปลอม) นั้น ไม่ว่าจะเป็นการเมืองระบบสองพรรค หรือการเมืองระบบหลายพรรคทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจะให้เหตุผลในการต่อสู้กันแต่การต่อสู้กันทั้งในแง่อุดมการณ์หรือในทางปฏิบัติ อย่างฝ่ายต่างใช้เหตุผลโดยมีกติกาเป็นไปดังเช่นที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนไว้ในหนังสือสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ว่าด้วยเรื่อง “การประนีประนอมในทางการเมือง” (Polities of Compromise) ว่า ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเสมือนนักมวยขึ้นชกกันบนเวที เมื่อฝ่ายหนึ่งไล่ต้อนอีกฝ่ายหนึ่งจนมุมแทนที่จะชกจนอีกฝ่ายถูกน็อก ฝ่ายไล่ต้อนจะยอกแขนให้อีกฝ่ายหนึ่งถอยออกไปได้ หมายความว่า ถ้าเป็นการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจะใช้วิธีประนีประนอมมากกว่าจะเอาแพ้ชนะด้วยการทำลายอีกฝ่ายหนึ่งจนหมดทางสู้
สรุปรวมความว่า ในระบอบการปกครองที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” นั้น ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจะไม่ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เช่น ในระบบการปกครองเผด็จการที่ฝ่ายแพ้จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศต่างๆในโลกปัจจุบันที่นำเอาคำว่าประชาธิปไตย และการเลือกตั้งเป็นข้ออ้างในการปกครองทั้งๆ ที่บางประเทศที่ใช้คำว่า ประชาธิปไตยแต่เพียงชื่อ แต่ในทางปฏิบัติตรงกันข้ามกับคำว่า “ประชาธิปไตย” ทำให้เกิดความสับสน ฉะนั้น การที่จะทราบว่าประเทศใดมีการปกครองระบอบใดต้องกลับไปดูว่าประเทศนั้นมีการปกครอง “เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” ในทางปฏิบัติหรือไม่เป็นประเด็นสำคัญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี