นโยบายที่มีความสำคัญนโยบายหนึ่งของรัฐบาลคสช.ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในห้วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 เป็นต้นมาส่วนราชการและภาครัฐวิสาหกิจ 5 หน่วยงานคือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ของสสว.ปีงบประมาณ 2560-2564 โดยได้บูรณาการจัดทำแผนส่งเสริมเอสเอ็มอีในการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่กลุ่ม Start up ทั่วประเทศทุกภาครวม 30,000 ราย
โดยมี สสว.เป็นหน่วยงานหลักสมทบด้วยหน่วยงานรอง 4 หน่วยงานคือมหาวิทยาลัยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ,ธนาคารออมสิน,ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) และกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยมีสสว.มีเป้าหมายให้เกิดเอสเอ็มอีรายใหม่เข้าสู่ระบบภาษีของรั ฐจำนวน 10,000 รายในระยะเวลา 4 ปี รัฐบาลมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการทั้ง 10,000 ราย เป็นผู้ประกอบการ High Value ทั้งนี้จะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรครบวงจรและอาหาร,อุตสาหกรรมสุขภาพและด้านการออกกำลังกาย,กลุ่มอุตสาหกรรมSmart Device กลุ่มสร้างสรรค์และวัฒนธรรม,กลุ่มHigh Value และบริการ,กลุ่มดิจิทัลและอีเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ
สสว.เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งภาคการผลิต ภาคการค้า ภาคการบริการและภาคการเกษตรจึงได้จัดทำการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ที่เป็นสตาร์ทอัพ
มีการพัฒนาเป็นผู้ประกอบการที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงยกระดับตัวเองเอ็นเอสเอ็มอี 4.0 มีการสร้างเครือข่ายและยกระดับสู่เอสเอ็มอี 4.0 โดยให้มีเครือข่ายที่เข้มแข็งนำไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ในระดับหนึ่ง
และเมื่อเวลา 11.00 น. ของวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ลานอเนกประสงค์อาคารเอศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กทม.สสว.กับมจน.ได้จัดงานสตาร์ทอัพมาร์เก็ตแฟร์ 2018 ตามโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ปี 2561 โดยมีผู้ทำหน้าที่เปิดงานคือ รศ.ดร.ฐิติพงษ์ เลิศวิริยะประภารองผอ.ฝ่ายบริหารสำนักวิจัยและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือกับนายวชิระ แก้วกอ ผอ.ฝ่ายประสานเครือข่ายผู้ให้บริการเอสเอ็มอี สสว.
โดยสสว.มีเป้าหมายให้เอสเอ็มอีส.ไทยเติบโตแข่งขันได้ในระดับสากลเพื่อให้เป็นหัวรถจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยตามแผนงาน 4 ปี ตั้งแต่ปี 2559 จนถึง 2562 ซึ่งโครงการได้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ ได้แก่ผู้ประกอบการจะได้รับความรู้เบื้องต้นในการยกระดับเอสเอ็มอี 4.0 ไม่น้อยกว่า 3,000 รายผู้ประกอบการมีแผนธุรกิจมีความพร้อมในการปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 1,500 ราย ผู้ผ่านการบ่มเพาะเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการของตนเองให้เป็นที่ต้องการของตลาดได้ไม่น้อยกว่า 900 รายผู้ประกอบการจะมีพื้นฐานความรู้ให้เป็นที่ต้องการตลาดทั้งการตลาดออนไลน์และการจัดงานโปรดัคดิสเพลย์ได้ไม่น้อยกว่า 450 ราย
ซึ่งทางด้าน มจพ.ได้แจ้งให้ทราบว่า มจพ.ได้รับสมัครผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องการเป็นสตาร์ทอัพในปี 2561 ได้จำนวน 3,322 ราย จากพื้นที่กทม. กลุ่มจังหวัดภาคกลาง กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกรวมทั้งสิ้น 25 จังหวัด มีผู้ผ่านการอบรมผู้ประกอบการยุค 4.0 จำนวน 3,207 ราย มีผู้ประกอบการสามารถเขียนแผนธุรกิจได้ 1,664 ราย มจพ.ได้ให้คำปรึกษาเอสเอ็มอีได้มากกว่า 900 ราย
ทางด้าน ผศ.ดร.วิชัย รุ่งเรืองอนันต์ หัวหน้าศูนย์วิจัยการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ.โดยมีระยะเวลาดำเนินการในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกันยายน 2561 เป็นระยะเวลารวม 26 สัปดาห์ โดยมีพื้นที่ดำเนินการคือ กทม. กลุ่มในจังหวัดภาคกลาง 20 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี,นนทบุรี, สระบุรี, ลพบุรี, สิงห์บุรี,อ่างทอง, ฉะเชิงเทรา, นครนายก,ปราจีนบุรี, สมุทรปราการ,สระแก้ว, นครปฐม,ราชบุรี, กาญจนบุรี,เพชรบุรี,สุพรรณบุรี,ประจวบคีรีขันธ์,สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี และตราด
โครงการปั้นเอสเอ็มอีใหม่มากขึ้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายของรัฐบาลยุคพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สร้างผู้ประกอบการไทยให้มีความเข้มแข็งส่วนจะได้ผลดีหรือไม่ต้องดูผลงานจากรายได้ที่แท้จริงในทางปฏิบัติด้วยว่าเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่ด้วย
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี