ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายหรือไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 กำลังไปได้สวยนักวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐกิจทุกๆ แห่งรายงานตรงกันว่าอัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะทะยานจากเป้าหมายเดิมที่ร้อยละ 4 ถึง 4.2 เป็นร้อยละ 4.6 จนถึงร้อยละ 5 เมื่อสำรวจราคาสินค้าและผลผลิตทางด้านเศรษฐกิจการเกษตรในสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วพบว่าประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 1-2 และอัตราเติบโตของรายได้ประชาชาติหรือจีดีพีจะอยู่ที่ปีละประมาณร้อยละ 5เช่นเดียวกัน
ทางด้านอาจารย์ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าที่ผ่านมาตลอด 9 เดือนของไตรมาสที่ 1 ถึง 3 การส่งสินค้าออกและการนำสินค้าเข้าจากต่างประเทศมีอัตราการเจริญเติบโตร้อยละ 4.5 ตัวเลขรวมการส่งออกตลอดปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 ขึ้นไปการนำสินค้าเข้าจากต่างประเทศมียอดสูงขึ้นในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 1.2ถือว่ามีเงินเฟ้อที่ต่ำมากยังผลให้ปริมาณของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าไทยมีปริมาณดีกว่าปี 2560
ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยในขณะนี้ก็คือการที่ไทยมีอัตราการเพิ่มของจำนวนประชากรในอัตราที่ต่ำมากเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้วไทยมีจำนวนประชากรทั้งชายและหญิงในปี 2560 ที่ผ่านมาแค่ 66,188,503 คน เป็นชายน้อยกว่าหญิงคือเป็นชาย 32,464,906 คน และเป็นหญิง 33,723,597 คน
หากสำรวจข้อมูลประชากรไทยทั้งประเทศแล้วพบว่าในแต่ละปีมีเด็กเกิดใหม่น้อยกล่าวคือในปี 2560 มีทารกเกิดใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีแค่ 620,066 คนเท่านั้น หรือต่ำกว่าร้อยละ 1 ของประชากรทั้งประเทศปี 2559 มีทารกเกิดใหม่ 655,161 คน ปี 2558 มีจำนวน 683,536 คนปี 2557 มีทารกแรกเกิด 725,867 คน ปี 2556 มีทารกเกิดใหม่ 742,948 คน ปี 2555 มีทารกเกิดใหม่ 796,090 คน ปี 2554 มีจำนวนทารก 779,659 คน ปี 2553 มีทารก 753,502 คน ปี 2552 มี 775,598 คน และปี 2551มีทารกเกิดใหม่ 780,928 คน
การที่ประเทศไทยมีทารกเกิดใหม่น้อยมานานทำให้มีปัญหาด้านสถานศึกษาของไทยมีนักเรียนน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งสภาวะนี้เป็นมานานร่วม 2 ทศวรรษทำให้มีปริมาณแรงงานของคนหนุ่มสาวลดลงไปแบบฮวบฮาบทำให้มีสภาวะขาดแคลนคนในวัยทำงานเป็นอย่างมากในปัจจุบันไทยต้องว่าจ้างแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มซีแอลเอ็มวีมาใช้ในประเทศถึงปีละมากกว่า 5 ล้านคน
ในขณะเดียวกันแรงงานไทยเองที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ทั้งชายและหญิงประมาณ 4 แสนคน ก็กลับมีการดิ้นรนเดินทางออกไปทำงานในต่างประเทศโดยเฉพาะการใช้วีซ่าของนักท่องเที่ยวไทยเข้าไปทำงานที่ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน เพราะได้ค่าจ้างสูงมากกว่าจะทำงานในประเทศไทยเอง
ทางด้านแรงงานไทยกลุ่มที่มีความรู้สูงในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทเองก็มีการเดินทางออกไปทำงานในต่างประเทศเช่นกันโดยเฉพาะที่สิงคโปร์, มาเลเซีย, ออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา และยุโรป แต่ละปีจะมีแรงงานไทยกลุ่มนี้ออกไปทำงานในประเทศเหล่านี้เองเพราะได้รับค่าจ้างสูงทัดเทียมกับแรงงานของคนในชาติเหล่านั้นโดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นนักบิน, วิศวกร, สถาปนิก, แพทย์และพยาบาล ซึ่งหากไปทำงานได้จะได้เงินค่าจ้างเดือนละ 250,000 บาท จนถึง 500,000 บาททีเดียว
เป็นปัญหาทำให้เกิดภาวะสมองไหลไปต่างประเทศในประเทศไทยเองก็ขาดแคลนแรงงานกลุ่มที่มีความรู้ทำให้ขาดกำลังคนในการพัฒนาประเทศไทยเองด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะปล่อย
ให้เป็นปัญหาต่อไปไม่ได้รัฐบาลจะต้องหาทางแก้ไขโดยเร็วด้วยการสนับสนุนให้คนไทยมีบุตรมากกว่าเดิมเพราะพบว่าคนไทยอยู่เป็นโสดไม่ได้สมรสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนที่มีครอบครัวแล้วก็ไม่ยอมที่จะมีบุตรยิ่งมีผลให้จำนวนประชากรไทยลดลงแบบผิดปกติ
รัฐบาลไทยภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องร่วมมือแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วโดยต้องมีมาตรการพิเศษในการเพิ่มจำนวนประชากรเด็กทารกให้เพิ่มจากปีละ 600,000 คน เป็นปีละ 1,200,000 คนขึ้นไป จนถึงปีละ 1,500,000 คนเพื่อไม่ให้ประเทศมีผู้ที่สูงอายุมากเกินไปนั่นเอง
คงต้องมีการหารือกันระหว่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี,นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างใดดี
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี