ประเทศไทยตกอยู่ในวิกฤติความขัดแย้งอย่างรุนแรง จนวิกฤตินั้นขยายตัวกว้างขวางขึ้น ต่อเนื่องมาถึงบัดนี้เป็นเวลา 13 ปีแล้ว ใน 13 ปีนี้ ประเทศไทยได้รับความเสียหายและเสียโอกาสนับไม่ถ้วน ประเทศไทยและคนไทยสูญเสียชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินมากมายสุดคณานับ อาจจะคิดเป็นตัวเงิน จำนวนมากกว่าความเสียหายจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
ความแตกแยก แตกความสามัคคี ในหมู่ประชาชนขยายตัวเป็นวงกว้าง และยกระดับความรุนแรงมากขึ้น ถึงขั้นที่ไม่ใช้เหตุผล หรือความถูกต้องเป็นธรรมเป็นเกณฑ์ตัดสินควรหรือไม่ควร และใช้ความเป็นพวกกู พวกมึง เป็นข้อตัดสินแทน
อะไรที่ทำโดยพวกเดียวกันก็กลายเป็นเรื่องถูกเรื่องชอบไปหมด แม้ว่าจะเป็นเรื่องชั่วช้าสารเลวสักปานใด ดังเช่น การขายชาติฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาถือตรงกันว่าเป็นความชั่วความเลว แต่มาถึงวันนี้ ถ้าเป็นการกระทำของคนพวกเดียวกันก็ยกย่องว่าเป็นความดีความชอบ จึงก่อให้เกิดความวิปริตบิดเบือนขึ้นในสังคมไทยจนถึงขั้นที่ คนทั้งหลายไม่สามารถผิดชอบชั่วดีได้โดยลำพัง
สภาพเช่นนี้ ไม่เป็นผลดีต่อใครเลย ไม่ว่าในระดับชาติ หรือประชาชน หรือหมู่ชนใดๆ เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของความสิ้นชาติ ที่ไม่ว่าจะดำเนินโดยวิถีของสงครามกลางเมือง หรือถูกยึดครอง
โดยต่างชาติ ก็จะมีความสิ้นชาติเป็นที่หมายปลายทางอยู่นั่นเอง
วิกฤติดังกล่าวนั้นเกิดจากเหตุ และเหตุสำคัญนั้นก็ปรากฏชัดอยู่ในบทพระราชปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ซึ่งระบุความไว้ว่า สาเหตุวิกฤติของประเทศชาติ
เกิดจากการทุจริต การฉ้อฉล การบิดเบือนการใช้อำนาจ และการไม่นำพาต่อความทุกข์ร้อนของราษฎร
เป็นการแสดงสมุทัย อริยสัจของประเทศชาติและแจ่มแจ้งเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
ดังนั้น เมื่อจะแก้ไขปัญหาชาติก็ต้องแก้ที่เหตุ คือ ต้องแก้ปัญหาการทุจริต การฉ้อฉล การบิดเบือนการใช้อำนาจ และการไม่นำพาต่อความทุกข์ร้อนราษฎร เพราะเมื่อแก้ที่เหตุของปัญหาได้สำเร็จแล้ว ผลของปัญหานั้นก็ย่อมหมดสิ้นไปด้วย ตามหลักแห่งอริยสัจสี่ตามที่พระพุทธองค์ ตรัสสอนไว้
แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่หลวงยิ่งนัก กำลังและสติปัญญาขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือประชาชนคนใดคนหนึ่งที่จะแบกรับภาระไปแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงได้
และเนื่องจากเรื่องนี้ปัญหานี้ มีผลกระทบต่อทุกชีวิตทุกคนในแผ่นดินนี้ จึงเป็นหน้าที่ของประชาชาติไทยทั้งผองที่ต้องร่วมกันแก้ไขปัญหานี้แทนที่จะทอดทิ้งผลักธุระไปให้คนรุ่นลูก รุ่นหลานในอนาคต
ดังนั้น ในท่ามกลางความปรักหักพังของความสามัคคีภายในชาติ จนเกิดปรากฏเป็นความแตกแยก ขัดแย้ง อย่างกว้างขวางนั้น จึงถึงเวลาที่คนไทยทั้งผองจะต้องตั้งสติยั้งคิด เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง
ซึ่งการใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีใครทำให้สำเร็จได้โดยลำพัง จึงต้องเป็นเรื่องที่ทุกคนทุกฝ่าย จะต้องปรองดองสมานฉันท์ สามัคคีกันแก้ไขปัญหาให้สำเร็จ
เรื่องนี้เป็นการใหญ่ของแผ่นดิน จึงต้องเริ่มต้นด้วยการปรองดองและความสามัคคี ดังพระบาลีอันปรากฏอยู่ในตราแผ่นดินของประเทศไทย ที่จารจารึกว่า สัพเพ สัง สังฆพูตานัง สามัคคี วุฒิสาธิกา ซึ่งแปลว่า การใหญ่ของแผ่นดินจะสำเร็จได้ด้วยการสามัคคี
และความสามัคคีนี้จะเป็นจริงได้ ก็ต้องเป็นความสามัคคีภายใต้ร่วมพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนี้แล้ว ประเทศไทยของเราทั้งหลายก็จะก้าวเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ที่เป็นไปเพื่อความสุขไพบูลย์ของประชาชาติไทยทั้งหลาย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี