เรื่องของงบประมาณแผ่นดิน เรื่องของผู้เสียภาษี
บทความในวันนี้จะเป็นการสรุปความแจกแจงรายละเอียดและบทวิเคราะห์เรื่อง “งบประมาณแผ่นดิน” ซึ่งเป็นภาษีของพวกเราทุกคน ซึ่งคุณบรรยง พงษ์พานิชได้กล่าวถึงเพิ่มเติมจากงานเขียนของ อดีตรมว.คลังสมหมาย ภาษี
อดีตรมว.คลัง สมหมาย ภาษี ได้ตั้งหัวข้อของท่านเอาไว้แบบดุดันว่า “งบประมาณแผ่นดินแบบซ้ำซาก กับอนาคตของประเทศไทย” โดยท่านอธิบายแจกแจงประเด็นไว้หลักๆ
ประการที่ 1 ท่านบอกว่า เป็นความซ้ำซากของการเพิ่มความสำคัญแก่งบป้องกันประเทศอย่างโดดเด่น ที่รมว.สมหมายย้ำว่า งบประมาณป้องกันประเทศเกินเหตุ ทำให้ไปเบียดบังงบจำเป็นด้านอื่น
ประการที่ 2 เป็นความซ้ำซากของการผัดผ่อนการชำระหนี้ประเภทต่างๆ ของรัฐบาลหรือ หนี้สินผูกพันที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้า โดยท่านรมว.สมหมายบอกว่า เป็นหลักทางการคลังที่ไม่ตรงมาของไทย และมีหลายตัวอย่าง เช่นปี 2545 กับการเคลียร์หนี้ของการรถไฟฯ และขสมก. การค้ำประกันหนี้รัฐวิสาหกิจเหล่านี้จนเป็นภาระคงค้างมาถึงปัจจุบัน งบประมาณต่อนโยบายการเกษตร โดยต้องให้ตัวแทนรัฐอย่าง รัฐวิสาหกิจที่เป็นธนาคารไปแบกรับอุ้มชูตลอด และท่านยังได้ย้ำถึงเลขจำนำข้าวที่ธกส.ต้องแบกรับหนี้กว่า 5 แสนล้านเป็นอย่างน้อยที่ตอนนี้ รัฐบาลชุดที่ก่อหนี้ก็จบไปแล้ว และรัฐบาลใหม่ก็ต้องมาจัดการ
ประการที่ 3 ความซ้ำซากของการจัดสรรเงินงบประมาณเพื่ออุดหนุนท้องถิ่น ที่ท่านรมว.สมหมายสรุปว่า ดูเหมือนไม่พอ แต่ก็เยอะเกินพอที่เป็นภาระของรัฐบาลกลาง
ประการที่ 4 สำคัญมากคือการสร้างภาระผูกพันให้กับงบประมาณในอนาคตที่เป็นงบผูกพันข้ามปี ที่ท่านบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับภาวะการคลังของประเทศ
เหล่านี้คือ ข้อสรุปของรมว.คลัง สมหมาย ภาษี ที่คุณบรรยง พงษ์พานิช บอกว่า เป็นการวิเคราะห์งบประมาณที่ดีที่สุดอันหนึ่งครับ คุณบรรยง ท่านว่าเอาไว้แบบนี้ และได้กรุณาแจกแจงการวิเคราะห์เพิ่มเติมเอาไว้ดังต่อไปนี้ครับ
1.สี่ปีของรัฐบาลนี้ ท่านใช้งบประมาณแผ่นดินไป 11,324,000,000,000.- (อ่านว่าสิบเอ็ดล้านสามแสนสองหมื่นสี่พันล้านบาท นี่ไม่นับอีกสามล้านๆ งบปีหน้าที่เพิ่งผ่านสภาฉลุยนะครับ)
มากกว่าที่รัฐบาลพลเอกเปรม ใช้ใน 8 ปี (2523-2531) ซึ่งรวมแค่ 1.6 ล้านๆ ถึงกว่าเจ็ดเท่าตัว เพราะฉะนั้นต่อให้ท่านจะใช้งบอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไปซื้อของไร้ประโยชน์บ้าง รั่วไหลบ้าง อย่างไรก็ต้องมีของที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนบ้าง มีตกถึงมือชาวบ้านร้านตลาดบ้าง ย่อมสร้างความชื่นชอบได้บางส่วน
2.ไม่เฉพาะแต่งบประมาณโดยตรงเท่านั้น ท่านยังสามารถขยายผลของงบได้ทวีคูณ เช่น สร้างโครงการที่ไม่อยู่ในงบ ให้รัฐวิสาหกิจระดมลงทุนทั้งๆ ที่โครงการไม่คุ้มค่า ให้สถาบันการเงินรัฐขยายตัวเงินกู้โดยรัฐชดเชยส่วนต่าง ไปงัดกองทุนสะสมต่างๆ ออกมาใช้เงิน ซึ่งทั้งหมดย่อมทำให้เกิดผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น เพราะมีเม็ดเงินลงไปในระบบ แต่ในระยะยาวก็ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าของการลงทุน ว่าจะส่งผลเพียงใด ถ้ามีประสิทธิภาพต่ำ ก็เป็นการใช้ทรัพยากรไม่คุ้ม หรือถ้าเป็นสินเชื่อ ก็ขึ้นกับคุณภาพสินเชื่อว่าดีเพียงใด เพราะสุดท้ายก็จะกลับมาเป็นภาระรัฐเอง เช่นที่ต้องเพิ่มทุนธนาคารอิสลามไป 16,000 ล้าน เมื่อเร็วๆ นี้
3.งบประมาณผูกพัน ซึ่งมีอยู่มากมาย และเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าเป็นห่วง เพราะเพิ่มสูงกว่าอัตราเติบโตเศรษฐกิจบวกด้วยอัตราเงินเฟ้อมากนัก ซึ่งนี่จะตกเป็นภาระแก่รัฐบาลต่อไปที่จะมีข้อจำกัดทางงบประมาณ และสุดท้ายก็คือภาระของผู้เสียภาษี (Taxpayers) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อนึ่ง งบผูกพันประเภทที่จัดซื้อล่วงหน้านี้ ถ้ามีส่วนของนายหน้าค่าต๋งก็จะเข้าทฤษฎี Capitalized Corruption คือโกงเงินอนาคต ซึ่งถ้ารัฐบาลหน้าเกิดอยากได้บ้าง ก็ต้องเพิ่มสัดส่วนทวีการโกงมากขึ้น หรือไม่ก็ผลักภาระการโกงไปให้คนอนาคตลูกหลานรับกรรมต่อๆกันไปไม่มีที่สิ้นสุด
4.ถ้าดูภาพรวม รัฐใช้จ่ายมากขึ้นอย่างมาก ทั้งในระบบงบประมาณและนอกงบประมาณ (ไม่ว่าเฉพาะรัฐบาลนี้นะครับ เป็นมาทุกรัฐบาลแหละ อย่างรัฐบาลที่แล้วก็อัดประชานิยมจำนำข้าวแล้วโยนภาระมาให้รัฐบาลนี้กว่าห้าแสนล้าน) แล้วเราก็จะยังไม่รู้หรอกว่าภาระที่สร้างในโครงการต่างๆ ของรัฐบาลนี้มันมีมากน้อยเท่าไหร่จนกว่ามันจะปูดออกมา
5.ตัวเลขหนี้สาธารณะที่ปรากฏนั้น มันเป็นตัวเลขทางการที่รายงานตามกฎหมาย แต่ภาระแท้จริงนั้น มีมากมายกว่านั้นมากนัก ยกตัวอย่าง ภาระความเสียหายในโครงการกู้ยืมในสถาบันการเงินของรัฐ ความเสียหายในรัฐวิสาหกิจ ภาระผูกพันนอกงบประมาณ ภาระสวัสดิการประชาชน สวัสดิการข้าราชการที่ตกลงไว้แล้ว กรอบกฎหมายให้หนี้สาธารณะอย่างเป็นทางการไม่ให้เกิน 60% ของGDPนี้ ไม่ทำให้ปลอดภัยจริง อย่างกรีซ ตอนเกิดวิกฤติใหญ่ หนี้ทางการก็ไม่ถึง 60% แต่มีหนี้ซ่อนอีกเท่าตัว
6.พอหันไปดูแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศที่ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ยิ่งขนลุกใหญ่ เพราะมันมีแต่แผนที่ต้องใช้เงิน ต้องขยายหน่วยงานและงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐแทบทั้งสิ้น แทบไม่มีแผนหาเงินหารายได้เลย
คุณบรรยง สรุปเอาไว้ของท่านว่า..
ยิ่งพอจะเลือกตั้ง ทั้งรัฐบาลที่หวังไปต่อ หวังดูดนักการเมืองจอมเขมือบ ทั้งพรรคต่างๆ คงจะระดมคิดแผนการคิดโครงการใช้เงินออกมาประชานิยมกันสุดๆ ผมไม่คิดว่าจะมีพรรคไหนชูนโยบายขึ้นภาษีหาเงินแม้สักพรรคเดียวนะครับอย่างนี้สถานะการคลัง สถานะหนี้สาธารณะในอนาคตจะเป็นยังไงก็คงจะพอคาดเดากันได้โดยไม่ยาก
ท่านสมหมายใช้ชื่อบทความว่า “งบประมาณแบบซ้ำซาก” ก็ชัดเจนนะครับว่า ทำกันแบบนี้มานานแล้วไม่เฉพาะรัฐบาลนี้ เพียงแต่ตอนนี้ก็ยังทำอย่างเดิม ไม่คิดจะปฏิรูปอะไร
ท่านสมหมายขมวดท้ายว่า การคลังคงจะถึงทางตันในเร็ววัน ให้เตรียมส่งทีมไปดูงานที่อาร์เจนตินา
หนักเข้าไปอีก เพราะคุณบรรยง จบการวิเคราะห์ไว้ว่า อันนี้ไม่เห็นด้วย เพราะว่าเขายังลงไม่สุดเลย ยังมั่วแก้กันแบบสะเปะสะปะ เราน่าจะไปดูกรีซดีกว่า เพราะมันเละมาสิบปีแล้ว แก้กันทุกทาง กัดลูกปืนกันไปหลายรอบ per capita GDP หดทุกปีจาก $32,000 ในปี 2008 ลงมาเหลือ $17,800 ในปี2016 แต่ข่าวดีคือ 2017 2018 เริ่มตั้งหลักได้กระเตื้องบวกปีละ 2-3% แล้ว จนคนเริ่มฉลองว่าพ้นนรก ใช้เวลาหนึ่งทศวรรษพอดี เราเริ่มบ่มเพาะปัญหาคล้ายๆ เขามาก น่าจะไปดูงานศึกษาไว้ก่อน ถึงเวลาจะได้ใช้เวลาแค่แปดเก้าปีในนรกก็พอ !!
โหดไหมล่ะครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี