l เจี๊ยบ & โจ๊ก ลูกรัก
ชีวิตของพ่อ ที่สืบทอดมาจากปู่และย่า ต่อเนื่องสายโลหิตมายังลูกทั้งสอง ผ่านมาได้ถึงวันนี้ โดยพูดได้เต็มปากว่า “พ่อ
ไม่ได้ทำความผิดหวัง” ให้ปู่ย่า ป้าลุงอา ญาติมิตรและเพื่อนของพ่อที่หลากหลาย พ่อได้ทำให้ทุกคนภาคภูมิใจในตัวพ่อ แต่มีส่วนที่สร้างความเศร้าความรักความเป็นห่วงใย ก็มีไม่น้อยเอาเรื่องเล็กๆ ก่อน คือ ในวัยเด็ก ได้สร้าง “วีรกรรมลุยไฟ” เมื่อด.ช.จิ๊บ เดินตามเพื่อนรุ่นพี่ ไปเที่ยวที่วัดเกาะแล้วพี่ๆ ดันไปเดินข้าม “กองขี้เถ้า ซึ่งเกิดจากเผาศพริมแม่น้ำวัง” ซึ่งดูเหมือนดับแล้ว เมื่อทุกคนข้ามพ้นได้ด.ช.จิ๊บ ก็ข้ามบ้าง “เท้าข้างขวา” จึงเหยียบขี้เถ้าร้อนเต็มตีน แล้วโดยสัญชาตญาณ ได้วิ่งลงน้ำ เพื่อให้เย็นเท้าจึงสุกๆ ดิบๆ แล้วได้รุ่นพี่ “สวัสดิ์” ให้ขี่หลัง เดินมาส่งที่บ้านร้านชัยประสาน ป๋าแม่ตกใจ จังหวะนั้น “พระ” เดินผ่านมา จึงไปนิมนต์ให้ท่านช่วย “ป๋าแม่ ไปเอาน้ำปลามารดที่เท้า ตามคำแนะนำของท่าน” หลังจากนั้นก็นั่งสามล้อไปหาหมอ ฉีดป้องกันบาดทะยัก และไปให้พระวัดศรีบุญโยง ทาน้ำมันเสกทุกวัน เป็นเวลาร่วมเดือน
อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อคณะ ชมรมปาฐกถาและโต้วาที สจม. เดินทางไปบ้านขุนตาล ของ อ.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายชัยวัฒน์ ต้องการแสดงความเป็นเจ้าถิ่น คนลำปางที่เคยมาเที่ยวเขาขุนตาลมาแล้ว ตอนเรียน อสช.ลำปาง จึงวิ่งนำเพื่อนวศ.จุฬาฯ 2510 ชื่อ ดร.สุวัฒน์ ที่เชื่อมั่นในเพื่อน จากดอยนั้นไปดอยนี้ ทิ้งห่างเพื่อนๆ มาไกลคงเป็นเวลาสองสามชั่วโมง ก็ยังไม่ถึง มองไปไม่เห็นใครตามมา จึงรู้ว่า “หลงแล้ว” จากนั้น จึงเดินลงไปเรื่อยๆ เจอ กลุ่มตัดไม้ ไกลๆ ก็หลบกันมาอีกทาง เป็นเวลาอีกสองชั่วโมง เดินทางพบบ้านชาวบ้าน “จึงถามทาง” แล้วเดินมาคอยที่สถานีอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลจากสถานีขุนตาล กว่าสิบกิโลเมตร โชคดีที่มีขบวนรถไฟเที่ยงล่องจึงต่อมาลงขุนตาล และจากนั้นก็เดินขึ้น มาเจอคณะ
โดยเฉพาะ อ.คึกฤทธิ์ที่ร้อนใจ “เพราะหาสองคนไม่พบ”
l เรื่องใหญ่ จะคงเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต ที่ไม่เคยลืม แต่ทำให้ “คุณปู่ย่าป้าลุงอาฯ” เป็นห่วงมากที่สุดคือ ช่วงเหตุเกิดขึ้น วันที่ 6 ตุลา 2516 ที่ “13 กบฏ เรียกร้องรัฐธรรมนูญ” ถูกจับตอนบ่ายที่ประตูน้ำ เมื่อไปแจกเอกสาร เรียกร้องรัฐธรรมนูญ จากอดีตรัฐบาลนายกฯถนอม ประภาส ณรงค์ แล้วถูกนำไปสอบสวนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปทุมวัน และถูกนำขึ้นรถจีเอ็มซี กลางดึก เอาไปขังที่โรงเรียนพลตำรวจบางเชนถูกขังอยู่ 7 วัน และออกมา เช้าของวันที่ 13 ตุลาคม 2516 ก่อนที่จะไปผจญเหตุในคืน 13 ต่อ เช้า 14 ตุลา” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ประชาธิปไตยครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย “14 ตุลาคม 2516” ที่เป็นการแสดงบทบาทของนักเรียนนักศึกษาประชาชนหลายแสน ที่ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยด้วยสองมือเปล่าจนสำเร็จ “คุณปู่ โดยเฉพาะคุณย่า” เป็นห่วงที่สุด และในวันที่พ่อกลับไปลำปาง ถึงสถานีรถไฟลำปาง และนั่งขบวนรถม้า ที่ชาวลำปาง นำมาต้อนรับแสดงความยินดีต่อ “วีรชน” (แต่พ่อ รู้สึกเฉยๆ) ก็ได้ไปกราบเท้าของท่านทั้งสอง “คุณย่าร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่คุณปู่กล่าวสั้นๆ “ป๋ามั่นใจจิ๊บ ซึ่งได้ทำสิ่งที่ดีงาม คงจะปลอดภัย พระคุุ้มครอง”
l อีกครั้งหนึ่ง คือ “การเดินทางไกล” จากนาครสู่ชนบทอันกว้างใหญ่ของประเทศไทย จากบ้านปู่ย่า 5 ปี 6 เดือน 7 สิงหา 2519 - 24 กุมภา 2524 โดยไม่ได้บอกกับทางบ้านเลย เพราะ “เป็นเรื่องปิดลับ” ในเหตุการณ์ก่อนหลัง 6 ตุลา 2519 “ยุคเผด็จการปิดปากข้อหาภัยสังคม ลอบสังหารผู้นำการต่อสู้ของประชาชน ชาวนา กรรมกร นิสิตนักศึกษา นักการเมือง และประชาชน ที่มีความคิดความเห็นต่างออกไป อย่างต่อเนื่องในส่วนของพ่อ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ได้เป็นหลักในการทำงานของพรรค และช่วยดูแลน้องๆ และผู้ปฏิบัติงาน ในส่วนเครือข่ายต่างๆ ให้การเคลื่อนไหว อยู่ในกรอบประชาธิปไตยส่วนตัวจึงไม่ได้ถูกกระทบโดยตรง เหมือนเพื่อนมิตรที่มีบทบาทสูง เช่น ธีรยุทธ บุญมี
พี่ไขแสง สุกใส ฯลฯ แต่ได้คุยแลกเปลี่ยนกัน ได้ข้อสรุปว่า “อีกไม่ช้า คงจะมีการปราบปรามหนัก และคงไม่สามารถอยู่ได้ “จึงหาทางที่จะเคลื่อนตัวออกไปก่อน ซึ่งก็ได้ สายสัมพันธ์ทางแนวร่วมฯ ในการประสานการเดินทางไปฯ กำหนดการเดินทางจึงรู้กันภายใน คือ “วันที่ 7 สิงหาคม 2519” พ่อจึงไม่ได้บอกทางบ้านและคนอื่นๆ เลยแต่มีการเขียนจดหมายถึงบ้านลำปางไว้ล่วงหน้าหลายเดือน โดยฝากเพื่อนที่ไว้ใจได้ เป็นคนส่ง เป็นช่วงๆ
l ชีวิตของผู้มีอุดมคติ อยู่ที่ไหน ก็ต้องยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม เป็นชีวิตที่มีแต่ให้ ไม่เอาเปรียบใครอยู่ที่ไหน จึงทำงานหนักเอาจริง ศึกษาหาความรู้ ช้สติปัญญา ความจริง ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมอยู่ในสมรภูมิสู้รบเสี่ยงชีวิตได้ตลอด หรือกลับออกมาทำงานหารายได้ เลี้ยงตัวเองครอบครัว จึงได้รับการต้อนรับ ไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้ร่วมทำงาน และคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นใคร รู้จักหรือไม่รู้จัก แต่เราก็เป็นคนไทยด้วยกัน
l แต่คนยุคพ่อ ยังต้องเจอกับ “เหตุการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” อีกไม่หยุด ตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภา 2535 การเคลื่อนไหวรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2540 การเคลื่อนไหวธรรมาภิบาล ธรรมรัฐ good governance กับ อ.ธีรยุทธ บุญมี ฯลฯ การเคลื่อนไหวสภาเกษตรแห่งชาติ และสหพันธ์เกษตรกรเพื่อการพัฒนา (สกพ.) การจัดพิมพ์หนังสือ ที่นำเอาความคิดของ อ.ธีรยุทธ วิจารณ์ ระบบทักษิโณมิกซ์ ตั้งแต่ปี 2545 และเรื่อยมาถึงความขัดแย้งของประชาชนที่รุนแรงมากขึ้น ระหว่าง “สีเหลือง พธม. 2549-2551 กปปส. 2556-7” และ “สีแดง” พรรคเพื่อไทย นปช. และระบอบทุนสามานย์ทักษิณ จนมาถึงยุค คสช. 22 พ.ค. 2557
l การเป็นคนมีอุดมคติที่แน่วแน่ ผ่านกาลเวลามาร่วมห้าสิบปี อย่างคนในยุคคนเดือนตุลาคม มีหลายคน เปลี่ยนแปลงไป ยุติการต่อสู้เพื่อส่วนรวม… ร่วมสู้สนับสนุนเฉพาะในกระแสใหญ่ของการต่อสู้ บางส่วน หันกลับไปสู้ในแนวทางของนักการเมืองเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยวิพากษ์เขา โดย “เก็บอุดมการณ์ไว้ในลิ้นชัก” อีกบางส่วน ก็ถูกวิจารณ์จากปีกที่ไปสังกัดนักการเมืองเก่าและกลุ่มทุนสามานย์ว่า “ไปรับใช้เผด็จการทหาร” เป็นเรื่องที่สร้างความสับสนในแวดวงนักวิชาการ นักต่อสู้รุ่นเก่า และเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่กำลังเติบโตมาด้วยการเดินรอยตามรุ่นพี่ ที่เป็นนักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวสิทธิและภาคประชาชน ฯลฯ
l หากคนที่ติดตามหรือเข้าใจ “เนื้อหา มิใช่ รูปแบบ” ก็จะเข้าใจได้ชัดเจน มิสับสนงุนงงไปกับกระแสแก้ตัวนักอุดมคติที่แท้ เขาจะไม่ติดในกรอบคิด หรือรูปแบบ ทั้งที่มาจาก ตะวันตก-อเมริกา หรือตะวันออก-จีนโดยยึดเอาเนื้อหา คือ ผลประโยชน์ ความสุข เสรีภาพ เสมอภาค ความเป็นธรรมของประชาชน เป็นหลักและที่สำคัญที่สังคมไทยขาด คือ การศึกษาวิจัยสรุปประเมินผล โดยยึดสภาพสังคมไทยเป็นหลักผู้นำและนักคิดไทย ขาดการสรุป
บทเรียนในทุกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย จึงเข้าไม่ถึงความจริงนอกจากการมีหลักยึด ตามแนวทางของพุทธศาสนา และท่านพุทธทาส “ให้เอาผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก มิใช่เอาเสียง (ลงคะแนนเลือกตั้ง ที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม) มากำหนด ตามข้ออ้างของนักเลือกตั้ง
นี่คือหนทางการหาทางออกของสังคมไทย ที่แท้จริง ที่นักอุดมคติและรักชาติบ้านเมือง ต้องเริ่มที่จุดนี้
l “แนวทางการแสวงหาสัจธรรม จากความเป็นจริง” ใช้ได้ทุกเรื่องราวของชีวิต ลูกทั้งสองต้องให้ความสำคัญอย่าเอา “ความอยากมี อยากเป็น โลภะ โทสะ โมหะ” มากำหนด จะมีผลเสียผลร้ายต่อชีวิตและครอบครัว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี