ดูเสมือนว่าคนไทยจำนวนหนึ่ง (รวมถึงคนบางจำพวกบนโลกใบนี้ด้วย) ชอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า คนคือเจ้าของโลกส่วนสัตว์อื่นๆ ไม่ว่าจะสัตว์ใหญ่ หรือสัตว์น้อย รวมถึงต้นไม้ใบหญ้า เป็นเพียงผู้อาศัย ซึ่งไม่มีความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของโลกใบนี้แม้แต่น้อย
อันที่จริงแล้ว โลกใบนี้มิใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน แต่โลกใบนี้คือสมบัติสาธารณะของทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสรรพสัตว์ทั้งปวง ต้นไม้ทุกชนิด มหาสมุทร แม่น้ำ ลำธาร และอากาศ แต่คนกลับอ้างสิทธิ์ผูกขาดบนโลกใบนี้ แล้วย่ำยีเข่นฆ่าผู้ร่วมถือกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของโลกอย่างไร้ความละอาย
เมื่อไม่นานมานี้ วิญญูชนได้ทราบข่าวว่าทางการของไทยสั่งห้ามให้อาหารนกพิราบ และนกอื่นๆ ในที่สาธารณะ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษด้วยการจำคุกเป็นเวลา 3 เดือน โดยอ้างว่านกเหล่านั้น โดยเฉพาะนกพิราบเป็นพาหะของเชื้อโรคสารพัดชนิด เช่น โรคหุ้มสมองอักเสบ โรคคลิปโตคอกโคสิส และปอดอักเสบ เป็นต้น
คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมนกพิราบจึงต้องเข้ามาหากินอยู่ในเขตเมือง
คำตอบคือ เพราะว่านกพิราบถูกแย่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติไปจนหมดสิ้น
คำถามต่อมาคือ ใครแย่งที่อยู่อาศัยของนก
คำตอบคือ คน
เมื่อนก และสัตว์อื่นๆ ไม่มีที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ พวกเขาเหล่านั้นก็จึงต้องเข้ามาข้องเกี่ยววุ่นวายกับคน ทั้งๆ ที่เขาคงรู้ดีว่าคนส่วนหนึ่งนั้นเป็นสัตว์ที่แสนจะอำมหิต
โหดร้าย แต่เมื่อสัตว์ทั้งหลายไม่มีทางเลือกอีกต่อไป เขาจึงต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปอยู่ใกล้ๆ กับคน
ธรรมชาติของสัตว์คงไม่อยากเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับคนมากนัก ถ้าหากสัตว์มีแหล่งดำรงชีวิตตามธรรมชาติที่เหมาะสม แต่เมื่อคนทำลายแหล่งที่อยู่และแหล่งอาหารตามธรรมชาติของสัตว์จนไม่เหลือหลอ ก็จึงเป็นเหตุให้สัตว์ต้องเข้ามาวุ่นวายกับคน ซึ่งอันที่จริงต้องบอกว่าต้นเหตุเกิดมาจากคน แต่คนก็กลับโยนความผิดให้สัตว์ แล้วอ้างว่าสัตว์ทำความเดือดร้อน ทำอันตรายให้กับคน
มีผู้วิจารณ์ว่าคนไทยจำนวนมากไม่รู้จักวิธีการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างเหมาะสม และมีนิสัยชอบรังแก เอาเปรียบสัตว์ ทั้งๆ ที่คนไทยจำนวนไม่น้อยดำรงชีวิตได้เพราะสัตว์
แน่นอนว่าคนอาศัยสัตว์มานานแล้ว ไม่ว่าจะอาศัยในด้านอาหาร แรงงาน และเพื่อความบันเทิงใจ แต่ทว่าคนเพียงจำนวนไม่มากกลับมองเห็นคุณค่าของสัตว์
มีคำถามว่า คุณเคยเลี้ยงสัตว์หรือไม่ หากคุณเลี้ยงสัตว์ คุณย่อมจะผูกพันกับเขา และรักเอ็นดูเขา แต่ก็เป็นเรื่องประหลาดมากที่คนบางคนเลี้ยงสัตว์ก็จริง แต่กลับรักเฉพาะสัตว์ของตัวเองเท่านั้น แต่มิได้รู้สึกเมตตาเอ็นดูสัตว์อื่นๆ เช่น คนบางคนรักเฉพาะหมาแมวของตนเอง แต่กลับเอาน้ำร้อนไล่สาด หรือไล่ตีหมาแมวของคนอื่นที่เข้าไปใกล้กับเขตของตนเอง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องประหลาดในเชิงอุบาทว์
แน่นอนว่าคนที่เลี้ยงสัตว์มักจะได้ประโยชน์จากสัตว์เสมอ เช่น อาจจะเลี้ยงวัวเลี้ยงควายไว้ทำไร่ไถนา (ในสมัยก่อน) แล้วก็มีวัวควายนั้นเป็นเพื่อนเล่นด้วย คนที่เลี้ยงวัวควายด้วยความรักความเอ็นดูโดยแท้จริงจะไม่ฆ่าวัวฆ่าควายเพื่อทำอาหาร และจะไม่ขายวัวควายให้คนอื่น แต่จะเลี้ยงดูเขาไว้จนกว่าเขาจะตายไปตามธรรมชาติ แต่ก็มีคนบางจำพวกที่เลี้ยงวัวควายไว้ใช้งาน แต่พอถึงวันหนึ่งกลับฆ่าวัวควาย เพื่อทำอาหาร นับว่าเป็นเรื่องสุดประหลาด เพราะคนที่เลี้ยงสัตว์ด้วยความรัก ไม่น่าจะฆ่าสัตว์ของตนได้ลงคอ อย่าว่าแต่ฆ่าเลย แม้เพียงแต่จะเฆี่ยนตีเขาอย่างรุนแรง ก็ยังทำไม่ลงด้วยซ้ำไป
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ประหลาดใจเมื่อพบว่า เด็กน้อยบางคนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรและออกฤทธิ์เดชไม่ยอมให้ใครนำสัตว์ของเขาไปไหน เมื่อแม่บอกว่าจะต้องขายหมูตัวอ้วน ที่เด็กน้อยเคยเลี้ยงมาตั้งแต่หมูยังเป็นลูกหมูตัวน้อย หรือคนบางคนบอกว่า ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรก็จะไม่ขายวัวขายควายให้ใคร และจะไม่ฆ่าวัวฆ่าควายอย่างแน่นอน แต่จะเลี้ยงไว้จนกว่าวัวควายจะหมดลมไป เท่านั้นยังไม่พอ คนที่รักวัวรักควายอย่างแท้จริงยังสั่งเสียกับคนในบ้านของตนอีกด้วยว่า แม้ว่าตนเองจะตายไปก่อนก็ห้ามขายห้ามฆ่าวัวควายเป็นอันขาด และในบ้านหลังนี้จะไม่มีการกินเนื้อวัวเนื้อควายอีกด้วย เพราะในเมื่อเราใช้แรงงานจากเขาเพื่อปลูกข้าวให้เรากิน และขายข้าวที่ได้จากแรงงานวัวควายแล้ว เราจึงจะไม่กินเนื้อของเขา แต่จะต้องเลี้ยงดูเขาให้อยู่ดีมีสุขอีกด้วย
ในสังคมไทยมีทั้งคนที่รักสัตว์ และคนที่ไม่รักสัตว์อยู่ร่วมผสมกัน ดังนั้นการที่จะเหมารวมไปเสียทั้งหมดว่าคนไทยหรือสังคมไทยไม่รักสัตว์จึงเป็นการเหมารวมที่ไม่น่าจะตรงกับความเป็นจริงไปเสียทั้งหมด
เมื่อย้อนกลับไปดูวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกในยุคสังคมการเกษตร จะพบว่าคนกับสัตว์มีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกันอย่างมีนัยสำคัญ อย่างที่ได้ยกตัวอย่างสังคมไทยเมื่อครั้งที่คนไทยส่วนใหญ่ยังทำอาชีพทำไร่ทำนาที่ต้องใช้แรงงานจากวัวและควาย และรวมถึงสังคมของกลุ่มชนเผ่าเบดูอินที่อาศัยอยู่ในแถบทะเลทรายอาหรับ คนกลุ่มนี้ก็จะผูกพันใกล้ชิดกับอูฐอย่างมาก
ยกตัวอย่างจากเพลงชื่อ เลี้ยงควาย ของจรัล มโนเพ็ชร ที่ว่า
ควายก็มีสองเขา เฮาก็มีสองมือ
เฮามีความนับถือ ควายคือผู้มีคุณ
คนตายเน่าบ่ดาย ควายตายขายเนื้ออุ่น
คนเลี้ยงควายได้บุญ ควายเลี้ยงคุณท่านฉัน
ควายบ่มีปัญญา เอ่ยวาจาแก้ต่าง
ควายกิ๋นหญ้ากิ๋นฟาง ควายบ่จ้างด่าคน
คนด่าคนเป๋นควาย ควายอับอายปี้ป่น
เพราะควายนั้นดีกว่าคน เฮาเป๋นคนฮักควาย
ยามตะวันตกดิน ได้ยินนกกาฮ้องก้อง
จูงควายลงอาบน้ำคลอง ก่อนฉลองข้าวแลง
ควายเอ๋ยควายกิ๋นข้าว เฮามีฟางหญ้าแพร่ง
อิ่มแล้วนอนเอาแฮง จะสุมไฟแดงไล่ยุง
ควายเอ๋ยนอนหลับเสีย เฮาก็เพลียเหงาง่วง
ควายเอ๋ยบ่ต้องห่วง บ่ขาย …….บ่ขายควาย
จะเห็นได้ว่าเพลงนี้สามารถสะท้อนความคิดของคนเลี้ยงควายที่รักและผูกพันกับควายของเขาได้อย่างลึกซึ้งมาก
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าคนในสังคมเกษตรกรรมกับสัตว์จึงมีความผูกพันและเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดมากมายตลอดเวลา ดังนั้นคนในสังคมเกษตรกรรมจึงไม่จำเป็นต้องมีสัตว์เลี้ยงตามความหมายของคำว่าสัตว์เลี้ยงในกลุ่มสังคมยุคอุตสาหกรรม หรือสังคมเมืองที่เป็นสังคมแห่งการพาณิชย์เต็มรูปแบบ ซึ่งจะพบว่าคนในยุคสังคมอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่งเลี้ยงสัตว์เป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นเครื่องแสดงฐานะ แต่ก็มิได้หมายความว่าคนทุกคนในยุคอุตสาหกรรมไม่รักไม่เอ็นดูสัตว์ ซึ่งจำเป็นต้องแยกพูดเป็นกรณีๆ ไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปพูดถึงความรัก ความเมตตาของคนไทยที่มีต่อสัตว์แล้ว จึงกล่าวได้ว่าในสังคมแห่งนี้มีทั้งคนที่รักและไม่รักสัตว์ แต่ไม่ว่าคนจะรักสัตว์หรือไม่ก็ตาม คนก็ไม่มีสิทธิ์รังแกสัตว์ หากไม่รักเขาก็จงปล่อยเขาไปตามวิถีของเขา อย่าเข้าไปก้าวก่ายยุ่มย่ามกับเขา และอย่าไปทำลายระบบนิเวศของเขา หากคนอยู่ส่วนคน สัตว์อยู่ส่วนสัตว์ สังคมโลกก็จะน่าอยู่ แต่ถ้าหากคนยังคงถือดีคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของโลก แล้วรังแกสัตว์ไม่หยุดไม่หย่อน สุดท้ายแล้วโลกจะเสียสมดุล แล้วเมื่อนั้นคนจะไม่สามารถดำรงชีวิตได้โดยปกติสุข
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี