คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงและแก้ไขประมวลรัษฎากรของกระทรวงการคลังที่มีนายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์เป็นประธานในคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนได้เผยถึงการแก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากรของรัฐบาลให้มีความทันสมัยเป็นธรรมและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญโดยจะเร่งรัดและผลักดันร่างประมวลรัษฎากรฉบับใหม่ให้เสร็จในปี 2562 ตามแผนปฏิรูปประเทศ
คณะกรรมการเผยว่ามีการเสนอให้แก้ไข 6 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นธรรมาภิบาลการจัดเก็บภาษีและบริหารภาษีอากร โดยให้มีการตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษานโยบายภาษีอากรแห่งชาติ ที่เป็นอิสระจากหน่วยงานจัดเก็บภาษี เพื่อกำหนดนโยบายการเก็บภาษีโดยคำนึงโครงสร้างภาษีทั้งระบบและทุกประเภท รวมถึงการตั้งคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษี ซึ่งเป็นคนนอก ไม่ใช่จากกรมสรรพากร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นกลางรวมทั้งสร้างค่านิยมในการเสียภาษี
โดยกำหนดนโยบายเพื่อจูงใจให้ผู้มีเงินได้เข้าสู่ระบบภาษีและกำหนดนโยบายเชิงรุกเพื่อขยายฐานการจัดเก็บภาษี โดยให้ประชาชนทุกคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะมีเงินได้หรือไม่ หรือมีเงินได้ถึงเกณฑ์มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และให้ประชาชนเปิดเผยจำนวนเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีในแบบแสดงรายการ แม้ในปีภาษีดังกล่าวจะไม่มีภาษีที่ต้องชำระก็ตาม
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ เสนอปรับเงินได้ใหม่เหลือ 3 ประเภทโดยแยกตามวิธีการคำนวณภาษี คือ เงินได้จากการทำงาน ได้แก่ เงินได้พึงประเมินมาตรา 40 เงินได้จากทรัพย์สินและการลงทุน ได้แก่ เงินได้ประเภทเงินปันผลและดอกเบี้ย และเงินได้จากธุรกิจและอื่นๆ รวมทั้งเสนอให้มีการหักค่าใช้จ่ายได้เพิ่มมากขึ้น ตามประเภทของประเภทเงินได้ นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลงจากปัจจุบันสูงสุด 35% ให้อยู่ระดับ 25% ใกล้เคียงกับภาษีเงินได้ของนิติบุคคล
ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคล เสนอให้มีการปรับลดอัตราภาษีและภาระภาษีรวมอยู่ที่ไม่เกิน 25% จากปัจจุบันภาษีนิติบุคคลของไทยเสียอยู่ที่ 20% และต้องเสียภาษีเงินปันผลอีกประมาณ 10% ทำให้มีภาระภาษีรวมประมาณ 28% รวมถึงให้กลุ่มบริษัทเดียวกันมีสิทธิคำนวณกำไรเสียภาษีรวมแบบกลุ่มได้เสนอให้กำหนดอัตราภาษี ณ ที่จ่าย เพียงอัตราเดียวสำหรับเงินได้ทุกประเภท และปรับวงเงินขั้นต่ำที่จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
ปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลไม่ควรมองข้ามคือการกำหนดให้ประชาชนคนไทยทุกๆ สาขาอาชีพไม่ว่าเขาจะเป็นผู้ประกอบอาชีพใดๆ จะต้องมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่รัฐบาลเช่นเดียวกับนานาอารยประเทศหากเขามีเงินได้พึงประเมินต่อปีมากกว่าปีละ 240,000 บาท ซึ่งอาชีพนี้ได้แก่ เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ชาวประมงต้องจ่ายภาษีเงินได้ให้แก่รัฐบาลเช่นเดียวกับคนที่มีรายได้จากการค้าขายเล็กๆน้อยๆแต่มีรายได้ต่อเดือนสูงโดยไม่ต้องเสียภาษีเพราะนี่คือความเป็นธรรมที่รัฐไม่ควรมองข้าม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี