พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทยที่มาจากตำแหน่งหัวหน้าคณะคสช.และผู้บัญชาการทหารบกและมาจากเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารล้มรัฐบาลในระบอบทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 ได้แสดงท่าทีว่าสนใจการเมืองมานานปีแล้วแต่เพิ่งมาประกาศชัดๆ อย่างเป็นทางการว่าถ้าจะเป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ก็ไม่ปฏิเสธหากว่ามีประชาชนอยากให้เข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาลต่อไปหลังเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 28 ของประเทศไทย
ซึ่งจากผลการทำโพลล์หยั่งเสียงจากหลายสำนักระบุกันชัดๆ ว่าพลเอกประยุทธ์อยู่ในรายชื่อที่ประชาชนคนไทยที่เป็นชนชั้นกลางและคนในเมืองใหญ่ต้องการเป็นลำดับต้นๆ มากกว่ารายชื่อที่เป็นนักการเมืองคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงนักการเมืองในสายของพรรคเพื่อไทยเป็นต้น
เส้นทางการไปสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์นั้นไม่ใช่แปลกอะไรเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 นั้นไม่ได้กำหนดว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจาก สส. และยังได้ให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภา 250 คนมีสิทธิในการเลือกตัวนายกรัฐมนตรีได้ 1 ครั้งในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 28 ซึ่งประเด็นนี้มันก็เหมือนสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2523 ถึง 2531 แต่สำหรับในยุคพลเอกประยุทธ์นั้นมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีแค่ 1 สมัย 1 เทอมเท่านั้นซึ่งอาจจะสัก 2 ปีถึง 3 ปีคงไม่ต้องรอไปจนครบ 4 ปี
ว่ากันว่าภารกิจหลักๆ ที่ยังเหลือคือการจัดการบริหารประเทศให้กฎหมายเป็นกฎหมายไม่ให้รัฐบาลที่ชอบอ้างตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตยมาออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมให้แก่นักการเมืองในระบอบทักษิณที่กระทำผิดกฎหมายแบบหน้าด้านๆ อีกจนเกิดกระบวนการขับไล่รัฐบาลจากชนชั้นกลางและมหาเศรษฐีรวมทั้งบรรดาศิษย์เก่าจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศอีกครั้งเหมือนเหตุการณ์ในเดือนพฤศจิกายน 2556 ถึงพฤษภาคม 2557 อีก
เราต้องไม่ลืมว่ามีคนไทยเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากรเพียง 7–8 ล้าน รายจากประชากร 65–66 ล้านคน ในขณะที่ประชากรอีก 50 กว่าล้านคนไม่ได้เสียภาษีเงินได้หรือเสียภาษีทางตรงโดยเฉพาะชาวไร่ชาวนาชาวสวนเกษตรกรได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีจริงอยู่อาจจะเสียภาษีทางอ้อมแต่ภาระภาษีทางตรงเป็นของคนในเมืองประการนี้ผิดกับประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ในซีกโลกตะวันตกเพราะคนเหล่านั้นต่างมีภาระการเสียภาษีพอๆ กันเป็นไปตามรายได้ของแต่ละคน คนมีรายได้น้อยก็เสียภาษีน้อย คนมีรายได้มากก็จะเสียมาก
รัฐบาลในระบอบทักษิณได้เคยใช้นโยบายประชานิยมนำเอาภาษีของประเทศจากคนในเมืองไปให้คนในชนบทอ้างว่ายากจนแต่ตามโลกแห่งความเป็นจริงนั้นคนในเมืองย่อมน้อยใจเหมือนกันเพราะปรากฏว่าคนรวยๆที่เสียภาษีให้รัฐบาลมากมายในแต่ละปีแต่ได้รับการให้สวัสดิการจากรัฐบาลน้อยมากหรือไม่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเลยปรากฏการณ์ของ กปปส. ในปี 2556–2557 ทำไมมีคนในเมืองจ่ายเงินมาสนับสนุน กปปส.มากมายเป็นพันๆล้านบาทเพราะอะไรเพราะคนในเมืองเอือมกับพฤติการณ์ของรัฐบาลระบอบทักษิณไม่ใช่หรือ!?
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในขณะนี้ทำให้มีสีสันแก้ความเหงาของประชาชน กระบวนการป้ายสีและโจมตีรัฐบาลคสช.มาแรงตามกลุ่มไลน์ต่างๆมีเรื่องโกหกก็มากจริงก็แยะแต่ที่น่าห่วงคือการให้ร้ายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มีออกมาตามสื่อโซเชียลเรื่อยๆ คนที่เสพข่าวต้องกลับไปคิดว่ามันมีความเป็นไปได้หรือไม่ บางเรื่องอย่างกรณีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรียืมนาฬิการาคาแพงจากเพื่อนมาสวมบางคนไม่เชื่อว่ามันจะมีจริงแต่ต้องขอบอกว่า
คนในยุคหนึ่งความเป็นเพื่อนแท้มิตรแท้มีจริงๆโดยเฉพาะคนในวัย 65 - 75 ปีที่เกิดหลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2488 ถึงปี 2500 นั้นคำว่าเพื่อนแท้ยอมตายแทนกันได้มันมีจริงๆ บางคนเรียนในโรงเรียนของคริสต์ศาสนาอาจจะเป็นอัสสัมชัญ เซนต์คาเบรียล มาแตร์เดอี เซนต์ฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์ เซนต์โยเซฟฯลฯ ร่วมเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ไปจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 5 ถึง 6 อยู่มาเป็นสิบๆ ปีการเป็นเพื่อนน้ำมิตรมันมีเกิดขึ้นได้การให้เพื่อนยืมของมีค่า เช่น รถยนต์ ปืนพก สร้อยเพชร นาฬิกา แหวน ฯลฯ มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาใครๆ ก็ให้ยืมถ้ารักกันจริงให้ไปฟรีๆ ก็ได้
ก็เหมือนกับการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าหากมีเสียงสนับสนุนมากพอหลายๆ ล้านคนและไม่มีประชาชนคัดค้านมากมายเป็นล้านๆ คนโอกาสที่จะเป็นไปได้มันก็มีอยู่ขอให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ในเมื่อนักการเมืองที่หนีคดีอาญาอยู่ต่างประเทศไม่ยอมกลับมาสู้คดีในศาลหนีไปการที่ประชาชนสนับสนุนคนโกงบ้านกินเมืองให้กลับมาเขาคนนั้นก็ต้องกล้ากลับมารับการพิจารณาคดีในศาลเพราะถ้าไม่ยอมกลับมาสู้คดีก็หมายความว่าไม่กล้ากลับเพราะอาจจะผิดจริง
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี