การยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการรัฐบาลเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมากล่าวหาด่าทอ ลำเลิกบุญคุณและประจานตัวเองกันอย่างกว้างขวาง ระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคพวกสมุนบริวาร กับ รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยการนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงว่า สังคมไทยที่ยังข้ามไม่พ้นธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ปล้นชาติอาฆาตสถาบัน
คืนวันที่ 19 ก.ย. 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าให้เหตุผลในการยึดอำนาจว่า “การบริหารราชการแผ่นดินโดยรักษาการรัฐบาล ปัจจุบันได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดินอันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง..”
สิบสองปีให้หลัง พอวันเลือกตั้งใกล้เข้ามา นายทักษิณ ซึ่งกลายเป็นสัมภเวสี เป็นนักโทษหนีคุกหนีคดี แต่ยังมีบารมี มีอำนาจเด็ดขาดเหนือพรรคเพื่อไทย ออกมาโวยวายว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งถูกใส่ร้าย ถูกกล่าวหาจากฝ่ายการเมืองและผู้มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญ ในฐานะสื่อที่ติดตามรายงานข่าวการเมืองอย่างใกล้ชิด จำเป็นต้องอธิบายว่าเหตุผลในการยึดอำนาจของ คปค. ชอบธรรมหรือไม่
เหตุผลที่ว่า “องค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง” ข้อนี้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไป ว่ารัฐบาลไทยรักไทยในยุคนั้นส่งคนเข้าไปอยู่ในองค์กรอิสระและครอบงำเกือบทุกองค์กร แม้แต่คณะกรรมการเลือกตั้ง ดังที่นายทักษิณพูดกับนายเสนาะ เทียนทอง ว่า “กกต.ก็เป็นของเรา” จึงไม่แปลกใจที่ กกต. ชุด “สามหนาห้าห่วง” ถูกศาลตัดสินจำคุก ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย. 2549
ส่วนข้อหาทุจริตนั้น คปค. ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขึ้นมาสอบสวนและได้สรุปสำนวนคดีฟ้องศาลจนถูกตัดสินจำคุก และสั่งยึดทรัพย์สินนายทักษิณไปแล้วกว่า สี่หมื่นหกพันล้านบาท นอกจากนั้นยังมีคดีทุจริตคอร์รัปชั่นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอยู่ระหว่างการพิจารณาอีกห้าคดี นี้เป็นสิ่งยืนยันว่าข้อกล่าวหาคอร์รัปชั่นของ คปค. มีความชอบธรรม
ส่วนข้อกล่าวหาว่า “หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง..” ถึงแม้ยังไม่ได้พิสูจน์กันในศาลยุติธรรม แต่พฤติกรรมที่ผ่านมาทำให้ประชาชนหลายล้านคนสัมผัสได้ ว่าคนในเครือข่ายรัฐบาลยุคนั้นมีพฤติกรรมคุกคามและจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นคำพูดนายทักษิณเอง หรือการอภิปรายบในสถานที่ต่างๆ ของสมุนบริวารเช่น
นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น
การยึดอำนาจ 19 ก.ย. 2549 เวลานั้นผู้เขียนทำงานอยู่กับสำนักข่าวเอพี ซึ่งรายงานข่าวโจมตี คปค. และ หมิ่นเหม่ต่อการพาดพิงถึงสถาบัน มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเห็นว่าเป็นคนไทยที่ทำงานในสำนักข่าวต่างประเทศ ท่านจึงแนะนำให้ใช้สติพิจารณาว่า ใครเป็นฝ่ายวางแผนยึดอำนาจก่อนและฝ่ายไหนซ้อนแผนปฏิวัติ ท่านแนะนำให้พิจารณาว่าทำไมนายทักษิณ ต้องใช้เครื่องบินโดยสาร 2 ลำ เพื่อการเดินทางไปประชุมสหประชาชาติ กล่าวคือนายทักษิณและคณะออกเดินทางจากกรุงเทพฯด้วยเครื่องบินไทยคู่ฟ้า ไปจอดพักในประเทศฟินแลนด์ 3 วันต่อมา นายทักษิณ ได้เช่าเหมาลำจัมโบ้ 747 ของสายการบินไทยตามไปอีกลำ ในเครื่องบินเช่าเหมาลำมีผู้โดยสารเพียง 6 คน ควบคุมกระเป๋าเดินทางขาดใหญ่ 76 ใบ บินไปรับนายทักษิณและคณะบินต่อจากเมืองเฮลซิงกิ ต่อไปนิวยอร์ก ที่ไปกับเครื่องบินไทยคู่ฟ้า โดยทิ้งเครื่องบินไทยคู่ฟ้าไว้ที่สนามบินในประเทศฟินแลนด์
จึงมีคำถามว่า ทำไมนายทักษิณต้องใช้เครื่องถึง 2 ลำ และ ขนกระเป๋าใส่อะไรไปถึง 125 ใบ (50 แรกในพร้อมกับเครื่องบินไทยคู่ฟ้า 76 ใบตามไปกับเครื่องเช่าเหมาลำ) และในกระใบใหญ่ 125 ใบบรรจุอะไรไว้ เป็นการเตรียมเสบียงล่วงหน้าว่าถ้าแผนการที่วางไว้ล้มเหลว เสบียงที่อยู่ในกระเป๋า 125 ใบทำให้อยู่นอกประเทศไทยได้นานเท่าที่ต้องการใช่หรือไม่? นอกจากนั้นท่านยังให้พิจารณาดูว่า ค่ำวันที่ 19 นายทักษิณ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ จากนครนิวยอร์กก่อนใช่ไหม? แล้วออกคำสั่งปลดผู้บัญชาการทหารบก แต่งตั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด เข้าควบคุมสถานการณ์ แต่คำประกาศผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ถูกตัดสัญญาณ ปฏิบัติการยื้ออำนาจข้ามทวีปล้มเหลว
แหล่งข่าวระดับสูงยังบอกว่า นอกจากเตรียมประกาศภาวะฉุกเฉินล่วงหน้า ถ้าได้พูดในที่ประชุมสหประชาชาติ คำปาฐกถาของนายรัฐมนตรีคนที่ 23 จะเน้นโจมตีใส่ร้ายสถาบันต่างๆ ในประเทศไทยที่เป็นเหตุให้การเลือกตั้ง 2 เม.ย. เป็นโมฆะ เพราะการเลือกตั้ง 2 เม.ย. ถูกประชาชนต่อต้านอย่างกว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์ ในจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 28,998,364 คน (64.76%) แยกเป็น บัตรเสีย 3,778,981 ใบ (คิดเป็น 13.03%) ไม่ประสงค์ลงคะแนน 9,610,874 ใบ (คิดเป็น 33.14 %) รวมแล้ว 13.4 ล้านคนที่ไม่ลงคะแนนต่อต้านเลือกตั้งครั้งนั้น
แต่นายทักษิณ ไม่แยแสไม่สนใจ หลังจากเลือกตั้งที่วุ่นวายและหาข้อสรุปไม่ได้เพียงสองวัน นายทักษิณก็เดินทางไปหัวหิน เพื่อถวายรายงานการเลือกตั้ง เมื่อถูกถามเรื่องอารยะขัดขืน เรื่องมีคนฉีกบัตรเลือกตั้ง และการเลือกตั้งฝ่ายเดียว ว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ นายทักษิณเมื่อถูกสอบถามถูกทักท้วง เก็บอารมณ์ความรู้สึกไม่ได้ ขณะที่นั่งเฮลิคอปเตอร์กลับกรุงเทพฯได้ระเบิดอารมณ์ระบายความแค้นออกมาด้วยกิริยาที่ไม่อาจให้อภัยได้ การระเบิดอารมณ์ในเฮลิคอปเตอร์ โดยลืมคำพังเพยที่ว่า “หน้าต่างมีหูประตูมีตา” เหมือนราดน้ำมันเข้ากองไฟเพิ่มความไม่พอใจแก่หลายฝ่ายและขยายความขัดแย้งให้รุนแรงขึ้น
ด้วยความต้องการเอาชนะ ผู้รักษาการรัฐบาลผลักดันให้เลือกตั้งซ่อม เลือกแซมในเลือกเขตตั้งที่ยังสรุปไม่ได้ กกต. บิดเบือนการบังคับใช้กฎหมาย การประท้วงของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขยายวงออกไป กลุ่มอันธพาลสมุนรัฐบาลก่อความวุ่นวาย จนบ้านเมืองวิกฤติเลวร้าย วันที่ 24 ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้การเลือกตั้ง 2 เม.ย. เป็นโมฆะ
แต่หลังจากศาลตัดสินให้โมฆะรักษาการรัฐบาลยังลุแก่อำนาจต่อไป ท้าทายพลังประชาชนและสถาบันอำนาจทุกฝ่ายไม่เคารพคำตัดสินของศาล ขัดขืนอำนาจตุลการ พฤติกรรมของพรรคไทยรักไทยในปี 2549 จึงเหมือนกับพฤติกรรมของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก่อน วันที่ 22 พ.ค. 2557 กล่าวคือ รัฐบาลถูกประชาชนประเทศท้วงเพราะลุแก่อำนาจ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทุจริตคอร์รัปชั่น ส่อไปทางจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน วางแผนฟอกขาวตัวเองด้วยการยุบสภาเร่งรีบจัดเลือกตั้งใหม่หวังกลับมามีอำนาจ หลังจากศาลตัดสินให้เลือกตั้งโมฆะ ยังเดินหน้าลุแก่อำนาจต่อไป หรือแม้แต่ศาลมีคำสั่งให้นายกฯและรัฐมนตรี 8 คน พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว ครม. ที่เหลือก็ดื้อดึงเป็นรัฐบาลลุแก่อำนาจต่อไป ไม่เคารพคำสั่งศาล ไม่ฟังเสียงทัดทานประชาชน ทหาร และสถานบันใดๆ
รัฐบาลที่ศาลสั่งให้พ้นหน้าที่ไปแล้ว ยังสร้างมวลชน จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาเข่นฆ่าประชาชน เผาบ้านเผาเมือง ทำลายสถานที่ราชการ สร้างความวุ่นวาย ใช้สื่อในเครือข่ายใส่ร้ายทำลายสถาบัน สมุนบริวารเหิมเกริมถึงขั้นวางแผนแบ่งแยกประเทศ ตั้งเป็นรัฐไทใหม่ หลังจากทักษิณ ถูกยึดอำนาจสมุนบริวารในเครือข่ายเคลื่อนไหวทำลายสถาบัน ผ่านวาทกรรมอำมาตย์ ไพร่ ในที่สาธารณะโจมตีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ บังหน้า ในที่ลับขบวนการไพร่ใช้สื่อในเครือข่ายโจมตีใส่ร้ายมุ่งทำลายสถาบัน
การยึดอำนาจ จากทุนสามานย์ปล้นชาติ อาฆาตสถาบัน สองครั้งที่ผ่านมาจึงเป็นความชอบธรรม ที่สัมภเวสีพี่น้อง กล่าวหาว่า อำมาตย์รังแก ทหารกลั่นแกล้งไม่ได้ ถ้าจะกล่าวโทษว่าการยึดอำนาจสองครั้งเป็นความผิดของใคร ให้ส่องกระจกมองหน้าแล้วจะรู้ว่าเป็นความผิดของใคร แต่ถ้าหาโทษใครไม่ได้ ก็ให้โทษ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)” และชาวบ้านหลายสิบล้านคน ที่ไม่ยอมให้กลุ่มการเมืองทุนสามานย์ปล้นชาติอาฆาตสถาบัน ทำร้ายประเทศชาติอีกต่อไป ยอมให้โทษประชาชนได้แต่อย่าโทษทหาร โทษอำมาตย์และพาดพิงสถาบัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี