สิ้นสุดไตรมาส 3 ของปีไปอย่างเป็นทางการไปเมื่อวานนี้กับวันทำการวันสุดท้ายของรอบปีงบประมาณ30 กันยายน 2561 และจะขึ้นรอบปีงบประมาณใหม่ 2562 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ที่กำลังจะถึงนี้
รวมถึงเป็นปีงบประมาณสุดท้ายที่ถือได้ว่า เป็นปีงบประมาณเต็มของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เนื่องจากการคาดการณ์ต่อการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอนาคตนี้คงยากที่จะเลื่อนต่อไปอีกเป็นแน่
แบงก์ชาติ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่ 1.5% ถึงแม้คะแนนรอบนี้จะไม่เอกฉันท์แต่ก็เป็นไปในทิศทางที่รัฐมนตรีคลัง และรัฐบาลเองก็ต้องการ เพราะยังคงต้องการให้เกิดความสะพัดของเงินในระบบ เพื่อให้ภาคการลงทุนและการบริโภคของประชาชนเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา ถึงแม้ว่าภาคการบริโภคของประชาชนในระดับฐานรากอาจจะยังมีเสียงบ่นอยู่บ้างก็ตาม
แบงก์ชาติคาดการณ์เอาไว้ว่า ปีหน้าของเราเศรษฐกิจจะสามารถโตได้ที่ระดับ 4.2% และคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจที่วัดโดยจีดีพีโดยรวมของปีนี้จะอยู่ที่ 4.4% ถึงแม้ว่ากระทรวงการคลังเองจะประเมินเข้าข้างรัฐบาลหน่อยว่าอาจสูงได้ถึง 4.8% โดยยิ่งจะเน้นเพิ่มให้ได้ถึง 5% จากคะแนนบวกจากเรื่องการส่งออกที่ทำได้ดีการท่องเที่ยวที่ดีเกินคาดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งทางมูลค่าเงินท่องเที่ยว และปริมาณของนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการเร่งลงทุนสาธารณูปโภคของรัฐเองในส่วนต่างๆ ก็เริ่มเห็นผลบวกมากขึ้นในปลายปีนี้
เม็ดเงินที่กระทรวงการคลัง เล็งเอาไว้ว่าจะดันให้ จีดีพีทะลุ 5% ให้ได้คือจะต้องมีการเพิ่มความสะพัดในระบบเศรษฐกิจอีกกว่า 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งที่รัฐบาลจะทำให้สัมฤทธิผลได้ชัดสุดจริงๆ ก็คือการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเอง หรือกระตุ้นการลงทุนของหน่วยงานราชการที่มักจะเสนองบแต่ไม่เบิกจ่ายได้ตามเป้า ให้รัดกุมและรวดเร็วมากขึ้น
แถมยังจะเร่งรัดให้ปีงบใหม่ที่จะเริ่ม 1 ตุลาฯ นี้ ยิ่งมีการเบิกจ่ายที่เข้มข้นมากขึ้นไปอีกโดยจะเน้นที่การเบิกจ่ายโครงการเมกะโปรเจกท์ทั้งหลายของรัฐบาลที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น EEC ระเบียบเศรษฐกิจตะวันออก รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าแต่ละสีต่างๆ ทั้งกรุงเทพฯ รวมไปถึงการเร่งรัดการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่แต่ละแห่งอีกด้วย
ขาเศรษฐกิจระดับมหภาคที่สะท้อนทุกอย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น ดูมีความคึกคักเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันหลักการที่เรียกว่า Trigger-Down ทางเศรษฐศาสตร์ที่ผู้บริหารประเทศในโลกใบนี้ส่วนใหญ่เชื่อกันนั้น จะเป็นผลที่ส่งผลให้เม็ดเงินจากการพัฒนาส่วนบนสะพัดลงไปที่ภาคส่วนประชาชนฐานรากได้จริงหรือไม่ ต้องอาศัยความเชื่อมโยงที่ลงตัว และกุศโลบายทางนโยบายที่สำคัญมาก
ปัญหาปากท้องที่สะท้อนต่อไปเรื่องหนี้สิน และการหารายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศคือปัญหาสำคัญในปัจจุบันนี้ แน่นอนว่า โลกเปลี่ยน เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในเรื่องการทำมาค้าขาย ตลาดเปลี่ยนรูปแบบจากหน้าร้านเป็นหน้าจอ ใครตามทัน ปรับตัวไว ก็กำไรกันไป ยอดขายทะลุทะลวงกันไป
เคยเห็นภาพสมัยก่อนที่ตลาดสดกุ้งหอยปูปลาจะสดจะดี ต้องไปเลือกซื้อเอง แต่ตอนนี้เปลี่ยนสภาพเป็นดูหน้าจอไอจี หรือ instagram แล้วสั่งปูนึ่ง กุ้งเผา หอยใหญ่มากินถึงบ้านไหมครับ ร้านเหล่านี้ไม่มีหน้าร้าน ไม่มีโต๊ะอาหาร ไม่มีการบริการใดๆ ที่ต้องมาคอยเปลืองค่าต้นทุนโสหุ้ยมากมาย ก็ทำการค้าได้ แล้วส่วนกำลังซื้อของคนที่ปกติจะต้องไปหาทานที่ร้านหายไปไหน คำตอบคือ ก็กินอยู่ที่บ้านนี่แหละ สะบัดนิ้วจิ้มไม่กี่ที สั่งของ โอนเงิน รอรับสายจากคนส่ง แล้วก็อิ่มหนำได้เลย
ที่เล่ามาจะสื่อว่า ช่องทางออนไลน์คือสิ่งสำคัญ แต่กระนั้นก็ตาม ประชาชนฐานรากก็ยังมีอีกหลายภาคส่วนที่ยังคงเจออุปสรรคจากสภาพเศรษฐกิจและรูปแบบของการเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเกษตรกร ที่พึ่งพาปัจจัยหลักอย่างเดียวคือเรื่อง “ราคา” จะยิ่งเจ็บ เพราะจะดิ้นไปทางไหนก็ไม่สามารถทำได้ง่ายขนาดนั้นนัก เหมือนๆ กับพวกกลุ่มค้าปลีกหรือกลุ่มอาหารที่มีความหลากหลายและลูกเล่นได้
และที่ยังเป็นปัญหาสำคัญอยู่อีกมากคือเรื่อง “หนี้” ไม่ว่าจะในหรือนอกระบบ ซึ่งก็เห็นความตั้งใจของข้าราชการกระทรวงการคลัง และรมว.คลังเป็นอย่างมาก ที่พยายามดูแลในจุดนี้ แต่ปัญหาเรื่องหนี้มีหมักหมมสะสมมานาน และหนักมากขึ้นในช่วงปี 2555 หลังจากมีนโยบายรถคันแรก ที่ตัวเลขหนี้ครัวเรือน ต่อจีดีพีพุ่งกระฉูดจาก ไม่ถึง 50% ต่อจีดีพีเป็น 80% กว่า ในช่วงสองปีที่เริ่มนโยบายนี้ และถึงปีนี้ที่รถคันแรกหมดช่วงสัญญาไปแล้วก็ยังไม่สามารถทำให้สัดส่วนหนี้ตรงนี้ลดลงไปได้
ซ้ำยังมีปัญหาราคาสินค้าเกษตรทั่วไปราคาไม่ดีเข้ามาจนทำให้ขารายได้ของพี่น้องเกษตรกรค่อนข้างแย่จะหลบไปรับจ้างก็ไม่มีงานหมุนเวียนมากขนาดนั้น ตอนนี้ฐานรากของประชาชนเดือดร้อนหนักกว่า ตัวเลขมหภาคใหญ่ที่เหมือนจะดูดี
ปัญหาตอนนี้สำหรับผู้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจคือ การกำหนด “ตัวชี้วัด” ใหม่
โดยคงต้องเลิกใช้ GDP เป็นตัวตั้งตัวหลักในการบอกว่า เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี เนื่องจากชาวบ้านเข้าใจมากขึ้นแล้วจริงๆ ว่า จีดีพีดี ไม่ได้แปลว่า ปากท้องอิ่ม มีความสุข แต่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจส่วนบนเสียมากกว่า
จีดีพีดี คำนวณจาก บริโภคดี ลงทุนดี ใช้จ่ายภาครัฐดี ส่งออกดี นำเข้าดี แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจำเป็นต้องดูให้ลึกกว่านั้น โดยเฉพาะเรื่อง รายได้ค่าใช้จ่าย หนี้สิน ราคาสินเค้าเกษตร ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคใช้สอย ความเหลื่อมล้ำ โอกาสในการเข้าทำงาน โอกาสในการได้รับการศึกษา โอกาสในการได้รับการรักษาที่เท่าเทียม โอกาสในการเดินทางไปทำมาหากินที่ใกล้เคียง และคุณภาพของคนในสังคมที่ไม่ต่างกันมากเกินไป
เหล่านี้ต้องถูกกำหนดขึ้นมาใหม่ ให้ตรงตามสภาพความเป็นจริงของคนไทย หากจะใช้ตัวชี้วัดเดียววัดว่าทั้งประเทศดีหรือไม่ดีแล้ว เหมือนมีแนวข้อสอบอยู่แบบเดียวแล้ว คนทำข้อสอบก็แค่ท่องไปให้ตรง แล้วทำโจทย์แบบเดียวให้ผ่าน แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ ครับ
สำคัญที่สุดตอนนี้คือ ความเหลื่อมล้ำที่พอใกล้เลือกตั้งรอบใหม่แล้ว ทุกพรรคการเมืองพูดถึงกันหนาหูมากๆ แต่ขอให้ไตร่ตรองให้ชัดก็แล้วกันว่า บางอันคือ พูดพล่ามอ้างไปทั่ว แต่นโยบายจริงเพิ่มความเหลื่อมล้ำให้สังคม บางอันคือ ลดเหลื่อมล้ำได้จริง แต่ใช้เวลานานก็ต้องหาวิธีแนวปฏิบัติที่ทำให้จับต้องได้มากยิ่งขึ้น แต่บางอันบอกว่า ลดเหลื่อมล้ำ แต่ในหน้าฉาก โอ้ โห มีแนวนโยบายเอื้อทุนใหญ่ เอื้อรัฐวิสาหกิจใหญ่อย่างตรงไปตรงมาจนชาวบ้านร้านตลาดแทบไม่ค่อยได้มีช่องทางทำมาหากิน แบบนี้สุดท้ายปัญหาวนกลับมาที่รัฐบาลเองอีกแน่ๆ และจะเป็นชนวนปัญหาเศรษฐกิจใหญ่ในอนาคตอีก ต้องดูกันให้ถ่องแท้จริงๆ ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี