เมื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ประกาศในราชกิจจานุเบกษาครบทั้ง 4 ฉบับแล้ว ถ้าไม่ถูกแทรกแซงจาก สนช. ไปเติมข้อความให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ต้องเลื่อนการมีผลบังคับใช้ออกไป 90 วัน ละก็ ปี่กลองการเลือกตั้ง คงเข้มข้น-ชัดเจน ยิ่งกว่านี้ ข้ออ้างเรื่องกลัวพรรคการเมืองเตรียมตัวไม่ทันบ้าง เพราะคำสั่ง คสช. ทำให้พรรคการเมืองติดขัด ไม่คืบหน้า (แล้วทำไมไม่ไปแก้คำสั่ง คสช. ล่ะ มาแก้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญทำไม?) กลัวพรรคการเมืองจะทำไพรมารีโหวตไม่ทัน (สุดท้ายใช้ ม.44 ยกเลิกไพรมารีโหวตเสียอย่างนั้น) เออ! เอาเข้าไป...
แต่เอาเถอะ เท่าที่เห็นเวลานี้ “ความเลอะเทอะ” แบบ “การเมืองเก่าๆ” การเมืองที่ประชาชนเบื่อหน่าย ก็เริ่มทยอยออกมาให้เห็นกันมากมายแล้ว มาครับ มานั่งสังเกตสังกา พิจารณาการเมืองบ้านเรากันสักหน่อย
1) เริ่มจัดทัพ ลุยศึกเลือกตั้ง
เราเริ่มเห็นทุกพรรคการเมือง “จัดทัพ” รับมือกับการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเริ่มต้นเน้นที่ “ตัวบุคคล” ก่อน ปรากฏการณ์ดูดกันมา ดูดกันไป จนย้ายพรรค ทั้งๆ ที่บางคน เคยประกาศไม่ย้าย และติติง “การดูด” มาก่อนก็ตาม ทำไมจึงเกิดปรากฏการณ์แบบนี้
1.1 เพราะมีการนับคะแนนการเลือกตั้งแบบใหม่ ทำให้ทุกพรรค พยายามหา “คนที่มีคะแนนแน่ๆ” มาสังกัดพรรค เพื่อส่งลงไปโกยคะแนน มากพอที่จะเป็น สส.เขต ก็ดีไป ไม่มากพอก็เอาคะแนนมาตุนไว้ เพื่อให้ได้ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งระบบการ “ตอบแทนกัน” จะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่แต่ละพรรค เช่น บางพรรค คนเป็น สส.เขต อาจหยุดอยู่แค่การเป็น สส.เขต คนที่สอบตก สส.เขต แต่คะแนนเยอะ อาจมี “ตำแหน่ง” อื่นๆ ชดเชยให้ตามมา
1.2 เพราะมีการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ทำให้บางจังหวัดที่มีจำนวน สส.ลดลง หรือพื้นที่ทับซ้อนกันมากขึ้น เมื่อหยั่งท่าทีในพรรคแล้ว อาจไม่ได้ลงสมัคร ก็เลยย้ายพรรค
1.3 ได้ยินมาหนาหู ว่าอำนาจเงินและการต่อรอง ข่มขู่ คนที่มีคดีติดตัว มีปัญหามัวๆ เทาๆ ก็มีจริง
1.4 มีบ้างที่มีไฟทำงาน ประเมินแล้วว่า อยู่ในพรรคเดิมคงต้องรอคิวนาน เลยย้ายมาอยู่พรรคใหม่
1.5 อุดมการณ์ของพรรคเดิม ไม่ตรงกับอุดมการณ์ของเจ้าตัวเลยย้ายพรรค
1.6 มีจำพวก “ขายตัว” อยู่ที่ไหนก็ได้ เร่หาที่ที่จะให้ “ราคาดีกว่า” ก็มารวมกลุ่มกัน สร้างราคาต่อรอง ที่ชนิดว่าบางกลุ่ม บัดนี้จะไปอยู่พรรคไหน ยังต่อรองกันอยู่เลย (ฮา..)
สิ่งที่เห็นนี้ เป็นการวางหมากสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งด้วยระบบ “คณิตศาสตร์” อาจไม่นับถึงผลงาน สันดาน ฯลฯ
สิ่งที่น่าสนใจในการ “อ่านเกม” เวลานี้ก็คือ ทุกคน ทุกพรรค ยังลังเลอยู่ว่า กระแสคน หรือกระแสพรรค จะมา ประชาชนจะเลือกใส่คะแนนให้ตัวคน หรือตัวพรรคกันแน่ อ่านยากจริงๆ
2.เริ่มตั้งคำถามกับคนที่กุมอำนาจตอนนี้
ไม่ใช่ใครหรอกครับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. แต่เพียงผู้เดียว เพราะมีทั้ง “อำนาจ” และ “ทรัพยากร” อยู่ในมือ คำถามที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ก็เช่น
2.1 จะผ่อนคลายการ “ได้เปรียบเสียเปรียบ” ด้วยการ “ปลดล็อก” ให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมทางการเมืองได้หรือยัง เพราะทุกวันนี้แค่ค่อยๆ คลายล็อก แต่บางกลุ่มบางก๊วนการเมือง ที่ถูกมองว่าเป็นพรรคของรัฐบาล ของทหาร ของ คสช. เดินสายดูด เดินสายหาเสียง ลงพื้นที่ โปรยงบประมาณ กันเป็นว่าเล่น
2.2 พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นแค่ “คนกลาง” ในการจัดการเลือกตั้งให้เสรี เป็นธรรม และดูแลความสงบเรียบร้อยระหว่างมีการหาเสียงให้ หรือจะร่วมเป็น “ผู้เล่น”
2.3 การเป็นผู้เล่น ไม่ได้แปลว่าต้องลาออกมาเป็นผู้สมัคร แบบที่มีคนท้าอย่างโง่ๆ อยู่หลายคนตอนนี้ เพราะลาออกมา ก็ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นผู้สมัครได้ เนื่องจากเลยกำหนดตามรัฐธรรมนูญแล้ว และถ้านายกฯ ลาออก คณะรัฐมนตรีทั้งชุดก็ต้องจบไป บ้านเมืองจะเป็นยังไง คิดสิ!
2.4 กระนั้นก็ตาม ความเป็น “ผู้เล่น” ยังทำได้อีก 2 วิธี คือ จะให้พรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด เอาชื่อท่านไปใส่ในบัญชีรายชื่อ คนที่จะเป็น “นายกฯ” ไหม อันนี้ผมสนับสนุนนะ จะได้ยุติธรรมและงามสง่า ว่าชัดเจน และเท่าเทียมกับผู้แข่งขันคนอื่นๆ ไม่ต้องหาทางดอดเข้ามาเป็นนายกฯ แบบที่มันสุ่มเสี่ยงต่อการถูกครหา และตั้งข้อแม้ปั่นป่วนสภา ปั่นป่วนบ้านเมืองในอนาคต ไหนๆ ก็มีพรรคการเมืองหลายพรรค ที่ตั้งขึ้นด้วยอุดมการณ์ประหลาด คือ ตั้งพรรคเพื่อหนุนคนหนึ่งเป็นนายกฯ แล้ว ก็เอาให้มันสุดทาง คือใส่ชื่อไปตั้งแต่ต้นเลย ประชาชนเขาจะได้รู้ ว่าถ้าเขาหนุน เขาจะเทคะแนนให้ใคร
2.5 อีกทางหนึ่งคือ มีคนในรัฐบาลตอนนี้ไปตั้งพรรค เขาสนับสนุนท่าน และท่านสนับสนุนเขา ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม โดยเปิดเผยหรือโดยปกปิด เราก็ถือว่าท่านเป็นผู้เล่นด้วย อยู่ที่ว่า จะเล่นแบบตรงไปตรงมา หรือเล่นซ่อนแอบ
การแข่งขันที่คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาด้วยกัน กรรมการ หรือคนดู ไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นอะไรแน่ มันเป็นบรรยากาศที่แย่ และเป็นเชื้อแห่ง “ความวุ่นวาย” ในวันข้างหน้า ยังไม่รวมข้อครหาที่เกิดขึ้นแล้ว เรื่องทำไม ครม. ลงพื้นที่บ่อยจัง ทำไมช่วงนี้ มีเงินแจกชาวบ้านเยอะจัง เป็นต้น
3) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นตัวของตัวเองเพียงใด
พูดกันตรงๆ ว่า คนเขาสงสัยว่า ท่านเป็นแค่ลิ่วล้อของ คสช. หรือเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เป็นอิสระ เพราะหลายๆ ครั้ง ดูจะงุนงงกับความมี/ไม่มี อำนาจในการตัดสินใจ วินิจฉัยเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง ต้องถาม คสช. ต้องรอ คสช. โอ๊ย!! ตกลงจะเป็น กกต. หรือสาขาหนึ่งของ คสช. กันแน่ ยังไม่รวมถึงความเป็นห่วงต่อ “ประสิทธิภาพ” ในการจัดการเลือกตั้งที่เป็นกลาง เสรี และเป็นธรรม กับเรื่องการเท่าทันเทคโนโยลีด้วย
4) ประชาชนพร้อมที่จะเลือกตั้งแล้วหรือไม่
ผมเชื่อว่าทุกคน ทุกพรรค ยังไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องนี้ เพราะคนกลัวว่าบ้านเมืองจะกลับไปวุ่นวายแบบเดิมอีก ยิ่งเห็น เสนาะ เทียนทอง, ชวลิต ยงใจยุทธ, จตุพร พรหมพันธุ์, พญาไม้ และใครต่อใครผุดโผล่ออกมา เห็น บก.ลายจุด ใส่ชุดดับเพลิงไปประชุม แบบคนที่ไม่ถูกอบรมเรื่องกาลเทศะมา ก็ได้แต่ส่ายหัวส่ายหน้าไปตามๆ กัน ครั้น พล.อ.ประยุทธ์ ร่วมต่อปากต่อคำกับคนพวกนั้นอีก ยิ่งไปกันใหญ่
ทุกคน ทุกฝ่าย พึงร่วมกันทำให้บรรยากาศการเลือกตั้งเป็นไปในทางสร้างสรรค์ เน้นและย้ำให้ประชาชนเข้าใจว่า ระบบการนับคะแนนแบบใหม่ที่ออกแบบไว้ จะทำให้ทุกคะแนนมีความหมายหมด ไม่งั้นไม่เกิดยุทธการ “แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย” คือ ไม่ไปกระจุกอยู่กับพรรคใหญ่ แต่ตั้งพรรคเครือข่ายขึ้นมารองรับ เพื่อไป “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน” มารวมเป็นแคะแนนบัญชีรายชื่อกันอย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้หรอก เพราะขืนไปกระจุกพรรคใหญ่ ปาร์ตี้ลิสต์จะอยู่ลำดับไหน?
เมื่อทุกคะแนนของประชาชนครั้งนี้ มีความหมายหมด ประชาชนจึงต้องตั้งใจทำหน้าที่ ตื่นตัวที่จะทำหน้าที่ เลือก “ตัวแทนที่ดีที่สุด” จากเขตของตัวเองเข้าสู่สภา นั่นคือหน้าที่หลัก หากเราได้คนที่ดีที่สุดจากแต่ละเขตเข้ามา สภาก็มีคุณภาพไประดับหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็ไปเสี่ยงดวงจากบัญชีรายชื่อก็แล้วกัน เพราะแต่ละพรรค ก็มีวิธีจัดลำดับบัญชีรายชื่อต่างกันไป ดังนั้น หลักประกันของการมีสภาคุณภาพ เริ่มจากประชาชนเลือกคนมีคุณภาพจากเขตเลือกตั้งของตัวเองนั่นเอง
แต่บรรยากาศเวลานี้ มันบิดเบือนไป มันมานั่งตั้งโจทย์ใส่เข้าไปในหัวประชาชนว่า จะเอาระบอบทักษิณ จะเอาทหาร จะเอาเผด็จการ จะเอาเสรีประชาธิปไตย หรือจะเอาอะไร จริงๆ แล้วแต่ละกลุ่มแต่ละพรรค มันก็มีอุดมการณ์ที่แตกต่างหลากหลาย ประชาชนต้องการแค่สภาที่มีเหตุผล มีคุณธรรม สำนึกว่าเป็นสภา “ผู้แทน” ของราษฎร ทำงานเพื่อราษฎร มุ่งแก้ปัญหาของราษฎรและสร้างความก้าวหน้า ทันโลก แก่ชาติบ้านเมืองเท่านั้น
การสร้างบรรยากาศให้เลือกเราเถอะ ไม่งั้นเผด็จการมา เลือกเราเถอะ ไม่งั้นทักษิณมา เลือกเราสิ เราหนุน “ลุงตู่” นะ เลือกเราสิ เราจะไปทวงคืนประชาธิไตยให้ เราจะไปหยุดการรัฐประหาร บางพรรคไปถึงจุด “พรรคพสกนิกร” นั่นเชียว ทั้งๆ ที่องค์พระประมุขกับพสกนิกรนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่ควรลากพามา
หยุดบรรยากาศประหลาดๆ พวกนี้ มาสู่การเดินเข้าคูหาเลือกตั้ง เพื่อเลือก “ตัวแทนที่ดี” คือ ความรู้ดี สำนึกดี มีคุณธรรม มีความกระตือรือร้นที่จะเป็น “ตัวแทน” ของประชาชน มากกว่าตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ จะดีกว่า หยุดสร้างบรรยากาศของการเดินเข้าคูหา กาบัตรด้วยความกลัวหรือความเกลียดกันเถอะ โดยเฉพาะสื่อมวลชน
5) สร้างสื่อ ซื้อสื่อ แทรกแซงสื่อ
เมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกขณะ ผลแพ้-ชนะ โดยเฉพาะบทเรียนจากหลายประเทศที่มีการเลือกตั้ง ขณะที่เราหยุดการเลือกตั้งไว้ 5 ปี นำมาสู่การให้ความสำคัญกับ “สื่อ” ทั้งสื่อในช่องทางปกติ คือ วิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์แล้ว “สื่อออนไลน์” หรือ “โซเชียลมีเดีย” กลายเป็นสื่อที่สำคัญ และปราศจากการควบคุม
ความโกลาหลของข้อมูล เรื่องจริง เรื่องเท็จ เรื่องใส่ความ เรื่องบิดเบือน เรื่องเชือดเฉือนทิ่มแทง จะล้นทะลัก ยกตัวอย่างเช่น เฟซบุ๊คเพจ “วันนี้ ธนาธร fail อะไร” สนุกมากนะ จับโป๊ะ “ธนาธร
จึงรุ่งเรืองกิจ” คนเดียวเลย เช่นเดียวกับตัวธนาธรกับแม่เอง ก็เข้าไปหนุนหลังสื่อเอาไว้จำนวนไม่น้อย ยังไม่รวมสื่อเชียร์ลุงตู่ สื่ออวตาร อีกสารพัด สงครามสื่อจะปะทุระอุ ชนิดที่หาก กกต. ตกยุค
เงอะงะ ประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สำลักข้อมูลตายคาที่แน่ๆ
ประชาชนจึงต้อง “รับสื่อ” อย่างเข้มแข็ง มีสติ และติดตามข้อมูลให้รอบด้าน อย่าหลงให้สื่อทั้งที่เปิดเผยตัวและอวตาร ใส่ความกลัว ความเกลียด เข้ามาในหัวสมอง จนลืมไปว่า เมื่อเดินเข้าคูหา เรามีหน้าที่เลือก “ตัวแทนที่ดีที่สุด” จากเขตของเราเข้าสู่สภาเท่านั้น และหากเขาไม่ได้เข้าสภา คะแนนที่เราใส่ไป ก็จะเป็นคะแนนของ “พรรค” ที่จะไปเลือกคนจากบัญชีรายชื่อ เข้าสภา ในฐานะ “ผู้แทน” ของเราเช่านเดียวกัน
สื่อเองก็ต้องไม่เอามัน ขาดสติ ขาดสำนึกที่จะต้องรู้ว่า ตัวเองไม่ได้มีหน้าที่จัดตั้งรัฐบาล ทายผลว่าใครจะมา ใครจะเป็นนายกฯ เสมือนเป็นผู้ “ใบ้หวย” แต่จงเข้มแข็งที่จะซักไซ้ไล่เลียงถึงวิสัยทัศน์ การมองเห็นปัญหา การวางแนวทางในการแก้ไขปัญหา (นโยบาย) และคณะบุคคลที่จะทำหน้าที่แก้ปัญหา นำพาผู้คนออกจากความชอบ-ไม่ชอบ กลัว เกลียด ที่มันบิดเบือนการเลือก “ตัวแทน” เข้าสู่สภา ทุกกลุ่มอุดมการณ์ควรชัดเจนว่า ตัวฉัน กลุ่มฉัน ต้องการให้คนคนนี้ พรรคนี้ เข้ามาเป็นปากเป็นเสียงแทนฉัน ตามหน้าที่ที่แท้จริงของการ “เลือกผู้แทน”
สนุกที่สุดในเวลานี้ ให้ดูที่ “พรรคประชาธิปัตย์”
การเปิดเกม “หยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค” โดยสมาชิก เล่นเอาพรรคอื่นหัวหมุน อุตส่าห์โอ้อวดว่าเป็นพรรคของประชาชน พรรคประชาธิปไตยกันมาตั้งนาน ประชาธิปัตย์ที่เคยถูกกล่าวหาว่า “ดีแต่พูด” ทำเลย! ทำทันที!
ให้สมาชิกได้เลือกหัวหน้าพรรคเองสิ นี่แหละ...ประชาธิปไตย
จับตาดูการ หาเสียง” แข่งกันครับ ว่าบรรยากาศจะเป็น “แบบอย่าง” ของการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงได้ไหม เริ่มตั้งแต่การกำหนดกติกา ให้คู่แข่งขันได้แข่งกันอย่างเสรีและเป็นธรรม
หาเสียงอย่างสร้างสรรค์ ไม่สาดโคลนทำลายกัน แต่ที่ล้ำหน้าและเป็นบรรทัดฐานที่ดีไปแล้วคือ การเคารพสิทธิความเป็นสมาชิกของพรรค แม้ระบบที่ คสช. ดำเนินการ คือ ให้สมาชิกเก่ามายืนยันสมาชิกภาพ จะทำให้คนจำนวนมาก ถูกตัดสิทธิการเป็นสมาชิกพรรคไปโดยอัตโนมัติ แต่พรรคประชาธิปัตย์ เลือกที่จะ “คืนสิทธิ” ให้คนหลายล้านคน ที่เป็นสมาชิก แม้ไม่ได้มายืนยันสมาชิกภาพ ก็มีสิทธิหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคได้ เพียงแค่ยังไม่ไปเป็นสมาชิกพรรคอื่นตามกฎหมายเท่านั้น
บ้านเมืองของเราจะดี ถ้าทุกคนมีจิตใจที่เปิดกว้าง เคารพระบบ ร่วมกันสร้างระบบที่ดี ไม่เห็นแก่ตัว ไม่คิดแต่จะห้ำหั่นกัน จนลืมว่าวันข้างหน้า ปัญหาสังคมสูงวัย ปัญหาปัญญาประดิษฐ์เข้ามาแทนที่มนุษย์ ปัญหาความแปรปรวนของสภาพอากาศโลก ปัญหาสิ่งแวดล้อม ขยะพิษ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ จะถาโถมเข้ามาโจมตีเราทุกคน
ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีใด ไม่ว่าจะประชาธิปไตยหรือไม่ประชาธิปไตย ปัญหาทั้งหลายเล่นงานเราทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ดังนั้น กลับมาอยู่กับปัญหาเหล่านี้ แล้วทุ่มเทสติปัญญา เพื่อแก้ปัญหาเล่านี้ด้วยกันจะดีกว่า!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี