หลายคนว่า สารสกัดจากกัญชา Cannabidiol (CBD) และ สาร Tetrahydrocannabinol(THC) ช่วยรักษาบรรเทาได้หลายโรค อาทิ มะเร็ง ออทิสติก อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน ลดน้ำตาลในเลือด ลมชัก เก๊าต์ ความดันโลหิตสูง ปลอกประสาทอักเสบ ซึมเศร้า อาเจียน เบื่ออาหาร แก้ปวด นอนไม่หลับ...แล้วทำไมประเทศไทยถึงอนุญาตเพียงแค่ให้ครอบครองทำวิจัยยังไม่ได้นี่ยังไม่ไปไกลถึงใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ ชิล ชิล
20 ปีที่ผ่านมาหลายประเทศก็เริ่มคลายล็อกกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ หรือใช้ในเชิงสันทนาการได้อย่างถูกกฎหมาย รวมแล้วมีถึง 26 ประเทศ ที่กัญชาเป็นธุรกรรมถูกกฎหมาย คือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม อิตาลี โครเอเชีย รัสเซีย เอสโตเนีย ยูเครน เช็ก โปรตุเกส สวิตเซอร์แลนด์ สเปน ออสเตรเลีย โคลัมเบีย อาร์เจนตินา
เอกวาดอร์ คอสตาริกา อุรุกวัย จาเมกา เม็กซิโก เปรู ปากีสถาน เนปาล เกาหลีเหนือ และกัมพูชา
สำหรับประเทศไทย พูดมานานแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยุครัฐบาล คสช. ที่มีอำนาจล้นมือก็ยังไม่กล้า มีแต่ข่าวแบบ
โยนหินถามทาง เช่น จะปลูกกัญชาในพื้นที่ทหารเมื่อต้นปี จนมาถึงกลางพฤษภาคม 2561 มีเรื่องตื่นเต้นคือ มติ ครม. เห็นชอบร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด ให้ยาเสพติดประเภทที่ 5 เช่น กัญชา สามารถศึกษาวิจัยทางการแพทย์ในคนได้
มติ ครม. ทำให้หลายหน่วยงานตื่นตัว ทั้งองค์การเภสัชกรรม (อภ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กรมการแพทย์ กรมแพทย์แผนไทยทางเลือก กรมสุขภาพจิต และผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชกรรมจากสถาบันอุดมศึกษา รวมตัวกันเป็น คณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เตรียมศึกษาล่วงหน้าระหว่างรอร่างการผลักดันร่างกฎหมายให้มีผลใช้บังคับ
แต่ทว่า “ผ่านไปแล้ว 4 เดือนกว่า กรรมาธิการร่างกฎหมายของสภา สนช. ประชุมไป 12 ครั้ง ได้แค่ 4 มาตรา เท่านั้น” และ ป.ป.ส. หน่วยงานคุมยาเสพติดโดยตรง ออกหนังสือไปจ่อรอนายกตู่ลงนามใช้ ม.44 มาเป็นเดือนๆ แล้วยังเงียบสนิทอยู่เลย ย้ำนะครับนี่แค่ประเด็น “ใช้กัญชาเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ หรือใช้ทำยารักษาโรคเท่านั้น” ทำไมช้าได้ขนาดนี้
ถ้ากัญชาได้รับอนุญาตให้วิจัยใช้รักษาโรคได้ จะทำให้ยาฝรั่งราคาแพงหลายตัวถูกลดความต้องการลง ผู้นำเข้าคงจะได้รับผลกระทบเป็นแน่ ยิ่งองค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตได้เองด้วย จะทำให้ผู้ป่วยลดภาระค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก
ปกติแล้วราคากัญชาน้ำมันสกัด 1 CC หรือ 5 หยด มีราคาสูงถึง 1,000 บาท โดยขณะนี้องค์การเภสัชกรรมมีความพร้อม ในการนำกัญชาของกลาง 100 กิโลกรัม มาสกัดเป็นน้ำมันหยอดใต้ลิ้นแก้โรคลมชักขวดละ 5 ซีซี คาดว่าจะผลิตได้ถึง 18,000 ขวด ภายในปีนี้ และมีแนวคิดใช้พื้นที่ขององค์การไปปลูกกัญชา คาดใช้งบประมาณ 100 ล้าน เพื่อเตรียมความพร้อมเพื่อผลิตยาในระดับอุตสาหกรรมภายในปี 2563 ถ้ากฎหมายผ่านคงได้เห็นแผนที่ว่ามากลายเป็น
เรื่องจริง
มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างออสเตรเลียตั้งเป้าเป็นประเทศอันดับ 1 ที่ส่งออกยาซึ่งมีส่วนผสมของกัญชารวมมูลค่า 4.6 ล้านล้านบาท สูงกว่ามูลค่าการท่องเที่ยวของประเทศไทยถึง 3 เท่า ส่วนสหรัฐอเมริกาทำมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ถึง 5.14 แสนล้านบาท ในปี 2017 และจุดที่ตั้งประเทศไทยเป็นแหล่งกำเนิดของพืชกัญชาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้ ก็คงสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่แพ้ข้าวหรือยางพาราเหมือนกัน
รอ สนช. ออกประมวลกฎหมายยาเสพติดมันช้ามาก อาจเป็นเพราะ “ประมวลกฎหมาย” มันหลายเรื่องพันกัน จากประสบการณ์ผมคิดว่าออกเป็น “พ.ร.บ.” เจาะมันเป้าหมายเดียวง่ายกว่า “กัญชาเพื่อวิจัยใช้เป็นยา”
ล่าสุด คุณสมชาย แสวงการ เลขานุการวิป สนช. นำทีมล่ารายชื่อสมาชิก สนช. รวม 44 คน เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ เพื่อเปิดทางให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ ซึ่งเป็นข่าวดีไม่น้อย แต่จะดีมากหากผ่านการพิจารณาของสภา สนช.แบบ 3 วาระรวด ผมไม่กังวลเทคนิคทางกฎหมายมากหนักเพราะสุดท้าย กฎหมายจะถูกรวบรวมเป็น ประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่สนช.ทำคู่ขนานกันอยู่แล้ว ประเด็นคือ “ต้องเร็ว”
“ครม.มาเลเซีย” เพิ่งเห็นชอบให้แก้ไขกฎหมายยาเสพติด อนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ไปเมื่อวันที่ 25 กันยายน
ที่ผ่านมานี้เอง “มาทีหลัง แต่ทำท่าจะแซงหน้าไทยเสียแล้ว” ผมฝากทิ้งท้ายสั้นๆ ว่า “เร่งเครื่องด่วน” ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี