l เจี๊ยบ & โจ๊ก ลูกรัก
วันนี้ พ่อ จะขอพูดถึง หลักคิด ในการใช้ชีวิตให้ “เป็นคนดี ประสบความสำเร็จ และมีความสุข”
ทั้งสามสิ่งนี้ มีความเป็นเอกภาพ มีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกัน อย่างแยกไม่ออก
l 1. การเป็นคนดี
ตัวพ่อ ถูกสอนมาจาก “บวร” : บ้าน วัด โรงเรียน ให้เป็นคนดี
พ่อแม่ของพ่อ (ปู่ย่าของลูก) เป็นคนแรก ที่เป็นแบบอย่างในการเป็นคนดี ให้ลูกๆ มาตลอด
(ทั้งการพูด และการปฏิบัติ) และย้ำอยู่เสมอให้ “ลูกเป็นคนดี ไม่ทำชั่ว” ให้เป็นคนรักและมีน้ำใจต่อผู้อื่น
“พ่อ” ก็ได้หลักคิด คำสอน พื้นฐาน นำใส่ใจ และพัฒนาตนให้เป็นคนดี เมื่อออกมาผจญโลกที่ซับซ้อนมากขึ้น
เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ลูกศิษย์ที่ดีของครู ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า และพัฒนาต่อมา ..............
เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนของเพื่อนพ้องน้องพี่ และคนทุกคน ทั้งที่รู้จัก และไม่รู้จัก ..............
และสิ่งที่สำคัญยิ่ง คือ การเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศไทย ( แผ่นดินเกิด ที่มีบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ต่อบรรพบุรุษ)
ชีวิต ที่ต้องประสบสถานการณ์ทางการเมืองที่หลากหลายการออกไป “ค่ายอาสาสมัคร” การไปร่วมทำงานกับผู้คนที่ทุกข์ยาก ในชนบทในเมือง และผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม รวมทั้งตัวเอง ที่ไม่ได้ความเป็นธรรม ทั้งๆ ที่เราตั้งใจทำในสิ่งที่ดีต่อส่วนรวม เช่น ต้องการให้มีประชาธิปไตย ให้มีรัฐธรรมนูญ ในยามที่ไม่มี เพราะถูกเผด็จการทหาร “ยกเลิกรัฐธรรมนูญ”และต่อมา ก็ได้รับรู้ด้วยชีวิตความเป็นจริง คือ “การไม่มี ประชาธิปไตยที่แท้จริง ทั้งๆ ที่ “มีการเลือกตั้ง” ที่เป็น
รูปแบบสำคัญ ที่อ้างว่า เป็นประชาธิปไตย “ ยิ่งหนักกว่า เพราะเป็นการหลอกลวงประชาชนทั้งชาติ เพื่อผลประโยชน์ เพื่ออำนาจ ตำแหน่งหน้าที่ ความร่ำรวย ของพวกนักเลือกตั้งฯ
ที่อาจสรุปสั้นๆ ว่า : เราต้องเป็นคนดี ทุกสถานการณ์ และทั้งต่อหน้าและลับหลัง
“ยิ่งมีปัญหาอุปสรรค ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ยิ่งต้องทำตนให้เป็นคนดี”
เพราะ “ความดี“ จะเป็นเกราะคุ้มกันภัย ให้เราอยู่ได้ อยู่ดี อยู่อย่างมีความสุข ท่ามกลางความทุกข์และความไม่มี
@ คนดี คือ คนที่มีลักษณะอย่างไร
คนที่คิดดี ต่อ ตนเอง ต่อผู้อื่น ชุมชน และบ้านเมือง
มีโอกาสทำดี จะทำอย่างเต็มที เต็มความสามารถ ทำให้ดีที่สุด (ทำให้เรามีความสุข ในขณะทำ)
และ เมื่อมีโอกาสทำชั่ว จะไม่ทำอย่างเด็ดขาด แม้จะนำไปสู่ ความร่ำรวย มีอำนาจ บรรลุเป้าหมายฯ
@ พื้นฐานสำคัญ ต้องเริ่มที่ “ตนเอง” ต้องคิดดีทำดี ด้วยความรู้สติปัญญา และความจริง
ซึ่งเมื่อตัวเราเป็นคนดีแล้ว จะทำให้เราคิดดีทำดีต่อคนอื่น “ครอบครัว พี่น้อง ชุมชนและบ้านเมือง”
l 2. การประสบความสำเร็จ
จากประสบการณ์ในชีวิตจริง ที่มีทั้งสำเร็จ และไม่สำเร็จ มีทั้งง่าย และมีเรื่องขมขื่นยิ่งนัก ในความเป็นจริง
พ่อ จึง ต้องนำ เอา “ความคิดและประสบการณ์นี้”มาถ่ายทอดให้ลูก เพื่อเป็นความรู้และบทเรียนต่อไป
หนึ่ง ต้องพูดให้ชัด ถึงการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมาย เป็นสิ่งสำคัญ
เพราะบางเรื่อง อาจจะทำได้ง่าย มีหลายเรื่อง อาจจะทำได้ยาก ต้องลงคิดลงแรงลงเวลามาก จึงสำเร็จ
และมีไม่น้อยเรื่อง ที่อาจจะทำไม่สำเร็จ ทั้งที่เกินความสามารถ และมีหลายปัจจัย ที่ยังมาไม่ถึง
การจำแนกแยกแยะ “เรื่องนี้” เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในการทำงานในชีวิตจริง
เพราะ “มีไม่น้อย” ที่มีความคิดอุดมคติ แลความคิดอคติ เอาแต่ได้ เพื่อตัวเองและพวกพ้อง” ที่ไปคิด ในสิ่งที่เป็นไปได้ยาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ในสถานการณ์หนึ่งๆ
เช่น คนมีอุดมคติ ตั้งแต่ยุค 2475, 14 ตุลา 16, … ฯลฯจนถึงปัจจุบัน
คิดและใฝ่ฝันถึง “สังคมอุดมคติ สังคมประชาธิปไตย ที่ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ฯลฯ”
แต่วิธคิด วิธีการ การได้มานั้น, มีจุดบอดที่สำคัญยิ่ง และเป็นจุดอ่อน ที่ไม่เคยแก้ตก หรือหากพูดตามความจริง คือ
“ไม่ได้คิดจะแก้ไข อย่างจริงจัง” โดยการ “สรุปบทเรียน ในเหตุการณ์ต่างๆ ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และความสำคัญในชีวิต ในรุ่นของตน, ซึ่งไม่เคยมี และไม่เคยทำ รวมทั้งที่สำคัญ”ขาดความคิดลงแรงอย่างลึกซึ้งรวมหมู่ “ที่จะพิจารณา” แนวคิดต่างๆ ที่รับมา นำเข้ามาจากต่างประเทศ (Import) แล้วนำมาประยุกต์ให้สอดคล้องกับสภาพและลักษณะที่เป็นจริงของสังคมไทย, จึงคิดเก่าทำเก่า หรือคิดใหม่ทำใหม่ แต่ในรูปแบบเดิม ดังนั้น สังคมไทย จึงวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ คือ “1. มีเลือกตั้ง (ที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม จากโครงสร้างและระบบที่ไม่เป็นธรรม เหลื่อมล้ำ คนส่วนน้อยได้เปรียบ คนส่วนใหญ่ ที่ขาดคุณภาพ เสียเปรียบ)
2. จึงได้นักเลือกตั้ง ที่ไม่มีอุดมคติ เอาแต่ผลประโยชน์และแสวงหาอำนาจส่วนตน ขึ้นมาเป็นรัฐบาล เป็นรัฐสภา ฯลฯ
3.เกิดการโกงกิน คอร์รัปชั่น ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ออกกฎหมายเพื่อคนส่วนน้อยที่มีอำนาจ
ที่เป็นพวกพ้องของตน สร้างความทุกข์ยากเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและความเสียหายให้กับประเทศ ฯลฯ 4.ทหารจึงออกมาทำการรัฐประหาร ปกครองบ้านเมือง ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วประกาศให้มีการเลือกตั้ง
l หรือ เรื่องที่สำคัญยิ่งอีกเรื่องหนึ่ง ที่เคยปรากฏมาแล้ว และยังคงมีความคิดเช่นนี้อยู่อีก ในคนกลุ่มหนึ่ง ในพรรคการเมืองหนึ่ง คือ ความคิด ล้มเจ้า ต้องการยกเลิกสถาบันกษัตริย์ หรือต้องการเปลี่ยนไปสู่ระบบการปกครองอื่นฯ ที่คิดว่า “ก้าวหน้า ดีกว่า จะทำให้ประเทศชาต เจริญได้มากกว่า” ซึ่งเป็นความคิดและการกระทำ ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย และประชาชนไทยส่วนใหญ่ ยังคงมีความจงรักภักดีต่อในหลวงและสถาบันกษัตริย์ และที่ผ่านมา สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กับสังคมไทย และมีคุณูปการ ต่อประชาชนและประเทศไทย โดยเฉพาะ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ตลอดพระชนม์ชีพ ๗๐ ปี ที่ทรงครองราชย์ ได้เสียสละและทำเพื่อประชาชนชาวไทยมาตลอด อย่างไม่มีพระมหากษัตริย์ใด หรือ นายกรัฐมนตรีคนใด ที่จะมาเทียบได้
l ที่พ่อยกตัวอย่างมา อาจจะเน้นไปในเรื่องทางการเมือง ซึ่งเป็นชีวิตของพ่อ แต่แนวคิดในการจัดความสำคัญและ
การแยกแยะ เรื่องใดที่ทำได้ หรือทำไม่ได้ สามารถประยุกต์ได้กับทุกเรื่องในชีวิต การงานและชีวิตครอบครัวฯ
l สอง สิ่งที่สำคัญควบคู่มา และสำคัญกว่า “การได้มาซึ่งความสำเร็จ” คือ “วิธีการ ที่ได้มาซึ่งความสำเร็จ”
สำหรับ คนดี คนมีอุดมคติที่แท้จริง เขาต้อง ใช้วิธีการที่ดี ที่ถูกต้อง ชอบธรรม เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ
แต่สำหรับ “คนชั่ว คนไม่ดี” เขาไม่สนใจ วิธีการ (จะดี หรือ ไม่ดี) เขาใช้หมด ขอเพียงแต่ให้บรรลุเป้าหมาย
โดยคนประเภทหลังนี้ “เขาเชื่อว่า” เมื่อเขาได้อำนาจ ได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว “ทุกคนทั้งที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็จะมุ่งเข้ามาหา คนมีอำนาจ คนที่ได้เป็น สส. เป็นนายกรัฐมนตรี หรือคนเป็นมหาเศรษฐี
ซึ่งหลายคนที่ยึดมั่นความดี ก็จะกล่าวอ้างว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” อาจจะได้ดี แต่ชั่วคราวเท่านั้น
เรื่องนี้ หากเคารพประวัติศาสตร์ มีไม่น้อย “ที่คนดี เผ่าพันธุ์ที่ดี ต้องสูญไป แต่คนไม่ดี ที่มีอำนาจ ยังคงอยู่”
แต่ตัวสำคัญ ที่จะได้กล่าวต่อไป คือ “ความสุขแท้”ที่ได้มาจากการทำดี กรรมดี ในชีวิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี