เมื่อครั้งคณะรัฐมนตรีลงไปประชุมสัญจรที่ภาคใต้ตอนบนเมื่อสองเดือนก่อน ก็ได้ประกาศยุทธศาสตร์พัฒนาภาคใต้ พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาว่าจะจัดวงเงินงบประมาณเพื่อการพัฒนาภาคใต้เป็นจำนวนถึง 200,000 ล้านบาท
ยุทธศาสตร์พัฒนาภาคใต้ที่ว่านั้นที่สำคัญก็คือ การพัฒนาฝั่งทะเลอันดามัน ให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก
สำหรับวงเงินงบประมาณ 200,000 ล้านบาท ที่จะจัดตั้งเพื่อพัฒนาภาคใต้นั้น ปรากฏว่ายังไม่มีรายละเอียดชัดเจนว่าในจำนวนวงเงิน 200,000 ล้านบาทนั้น จะเป็นวงเงินงบประมาณที่จัดให้ในปีงบประมาณเดียวหรือว่าสักกี่ปี และจะเป็นเงินงบประมาณเพื่อพัฒนาภาคใต้ในเรื่องใดบ้างก็ยังไม่มีความชัดเจน
โดยสรุปก็คือ เป็นการจุดชนวนให้เป็นประกายในการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ดีกว่าที่จะไม่มีการพูดถึงกันเสียเลย แต่จะเป็นมรรคผลประการใดนั้น คงต้องตั้งตารอคอยกันต่อไป
ความจริงการท่องเที่ยวทั้งฝั่งทะเลอันดามันและฝั่งอ่าวไทยในพื้นที่ภาคใต้นั้น ภาคประชาชนได้ดำเนินการต่อเนื่องมายาวนานแล้ว โดยไม่เคยมีรัฐบาลใดเหลียวแลสนับสนุน
พัฒนาการทั้งหลายทั้งปวงในการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้ล้วนเป็นน้ำพักน้ำแรงน้ำคิดน้ำอ่านของภาคประชาชนทั้งสิ้น แม้กระนั้นก็ได้ก่อเกิดเป็นมรรคผลที่สร้างรายได้ให้แก่พื้นที่ภาคใต้เป็นจำนวนมาก
ความจริงแค่กำหนดมาตรการทำนุบำรุงส่งเสริมสนับสนุนให้เป็นล่ำเป็นสันก็เพียงพอแก่การ อะไรที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวของภาคใต้ก็ช่วยเหลือแก้ไขให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว และอำนวยประโยชน์แก่การท่องเที่ยวก็คงจะเพียงพอ
การส่งเสริมด้านวัฒนธรรมประเพณีและการจัดนิทรรศการใหญ่ๆ ก็สามารถทำได้โดยภาคประชาชนเขาก็พร้อมที่จะทำกันอยู่แล้ว
ดังนั้นการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จะเป็นมรรคเป็นผล ยังคงเป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันต่อไป
อันพื้นที่ภาคใต้นั้นมีภูมิยุทธศาสตร์สำคัญที่ถ้าหากไม่ดำเนินการพัฒนาประการใดแล้ว ภาคใต้ก็ไม่มีวันเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ นอกจากนั้นภาคใต้ยังมีอาชีพหลักสองอาชีพที่ถ้าหากไม่พัฒนาส่งเสริมด้วยความรู้และสติปัญญาอย่างจริงจังแล้วก็ไม่มีทางที่จะพัฒนาภาคใต้ได้
หลายสิบปีมานี้ไม่มีการพัฒนาพื้นที่และกิจการดังกล่าวนั้นเลย เหตุนี้จึงสามารถกล่าวได้ว่าภาคใต้ถูกทอดทิ้งไร้การเหลียวแลมาไม่น้อยกว่า 50 ปีแล้ว
การที่จะพัฒนาภาคใต้ให้รุ่งเรืองไพบูลย์นั้น จะต้องมุ่งเน้นที่การพัฒนาสี่พื้นที่ยุทธศาสตร์ และสองอาชีพหลัก
พื้นที่อันเป็นยุทธศาสตร์แห่งการพัฒนาภาคใต้มีอยู่สี่พื้นที่คือ พื้นที่ฝั่งฟากทะเลอันดามัน พื้นที่ฝั่งฟากอ่าวไทย พื้นที่รอบลุ่มทะเลสาบสงขลา ที่ครอบคลุมพื้นที่สงขลา นครศรีธรรมราช และพัทลุง และพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งสี่พื้นที่นี้ต่างก็มีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเอง ที่จำเป็นต้องมีมาตรการเฉพาะในการพัฒนาทั้งสิ้น
สำหรับอาชีพสองอาชีพหลักของชาวภาคใต้คืออาชีพประมง และอาชีพสวนยาง ถ้าหากสองอาชีพนี้ลำบากยากจนแล้วไซร้ ก็จะส่งผลต่อประชากรภาคใต้ส่วนใหญ่ให้ลำบากยากจนตามไปด้วย
เพราะเหตุที่สองฝั่งทะเลภาคใต้ยาวเหยียด ดังนั้นจึงเกี่ยวข้องกับการทำมาอาชีพของประชาชนสองฟากฝั่งทะเล ซึ่งเป็นประชากรจำนวนมาก ดังนั้นหากพัฒนาส่งเสริมอาชีพประมงให้มีรายได้ที่แน่นอนมั่นคงและยั่งยืนแล้ว ก็จะเป็นทางเสริมสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนสองฟากฝั่งทะเลเป็นอย่างดี แต่มาวันนี้อาชีพประมงฝืดเคืองเพราะมีการทำประมงผิดกฎหมาย เพราะมีการลิดรอนสิทธิในการประมง และเพราะขาดการส่งเสริมในการทำการประมงนอกน่านน้ำ กระทั่งมีการออกมาตรการที่ยากแก่การปฏิบัติและเป็นผลทำให้เรือประมงจำนวนมากกลายเป็นเรือผิดกฎหมาย
สำหรับอาชีพสวนยางนั้น เป็นอาชีพหลักของชาวภาคใต้มายาวนานเป็นรายได้หล่อเลี้ยงประชากรส่วนใหญ่ของภาคใต้ ดังนั้นปีใดยางราคาดี ความมั่งมีศรีสุขและความชื่นบานก็จะบังเกิดขึ้นทั่วภาคใต้ แต่ทว่าในเรื่องยางพารานั้นขาดผู้มีสติปัญญามาทำนุบำรุง ดังนั้นกิจการยางพาราไทยจึงทำกันแค่ส่งออกยางดิบไปยังต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้ก่อเกิดมรรคผลมูลค่าใดๆ ให้แก่ผลิตภัณฑ์ยางพาราเลย
รอวันเวลาที่จะมีผู้มีสติปัญญามาทำนุบำรุง อัญเชิญพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ส่งเสริมการแปรรูปภาคเกษตรให้เป็นแบบอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าทันสมัย ที่ถ้าหากเมื่อใดดำเนินการได้สำเร็จจนถึงขั้นไม่ต้องส่งยางดิบออกไปต่างประเทศแล้ว เมื่อนั้นประเทศไทยก็อาจเป็นมหาอำนาจทางเกษตรอุตสาหกรรมได้
ยิ่งวันนี้ราคายางพาราตกต่ำเหลือ 4-5 กิโลกรัม 100 บาท ไม่คุ้มแก่การตัดยาง จนถึงกับต้องปล่อยให้สวนยางร้างราเกือบจะทั่วภาคใต้เป็นที่อเนจอนาถนัก และไม่มีทีท่าว่าจะมีผู้ใดมีสติปัญญาหรือทุ่มเทให้กับการแก้ไขปัญหานี้เลย ชาวภาคใต้จึงต้องดิ้นรนไปตามยถากรรมต่อไป
วันนี้จะมุ่งเน้นถึงการพัฒนารอบลุ่มทะเลสาบสงขลา ในฐานะที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ ที่ถ้าหากรุ่งเรืองไพบูลย์แล้ว ก็จะส่งผลต่อภาคใต้ตอนบนและภาคใต้ตอนล่าง รวมทั้งทั่วประเทศเป็นส่วนรวมด้วย
รอบลุ่มทะเลสาบสงขลามีประชากรหนาแน่นมาแต่โบราณ ให้ดูจำนวน สส. สงขลา นครศรีธรรมราช และพัทลุง สามจังหวัดนี้ก็จะมีจำนวน สส.เกือบครึ่งหนึ่งของภาคใต้แล้ว นั่นแสดงให้เห็นถึงฐานะความเป็นศูนย์กลางของภาคใต้ ที่มีฐานะสำคัญอย่างยิ่ง
ทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลสาบธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ลำดับห้าของโลก มีลักษณะพิเศษคือเป็นทะเลสามน้ำ ได้แก่ น้ำเค็มทางปากอ่าวสงขลา น้ำจืดทางฝั่งอำเภอระโนด และจังหวัดพัทลุง และน้ำกร่อยแถบย่านปากพะยูน เกาะสี่ เกาะห้า โดยน้ำสามชนิดดำรงอยู่ตามธรรมชาติ
ถึงเทศกาลหน้าฝนน้ำจืดก็ผลักดันน้ำกร่อยให้ดันน้ำเค็มออกอ่าวสงขลา ครั้นพอถึงหน้าแล้งน้ำจืดลดลง น้ำกร่อยก็ดันเข้ามา ชักพาเอาน้ำเค็มตามน้ำกร่อยมาด้วย การถ่ายเทไปมาของน้ำตามธรรมชาตินี้จึงทำให้พันธุ์สัตว์น้ำนานาชนิดอุดมสมบูรณ์
เพราะพันธุ์สัตว์น้ำเค็มเมื่อถึงฤดูกาลหน้าแล้ง และมีคลื่นลม ก็จะมาตามคลื่นตามลมเข้ามาทางปากอ่าวสงขลามาจนถึงเขตน้ำกร่อยย่านเกาะสี่ เกาะห้า ครั้นพอถึงเทศกาลหน้าฝน พันธุ์สัตว์น้ำจืดนานาชนิดจากลุ่มน้ำปากพนัง พรุควนเคร็ง ทะเลน้อย พัทลุง ชะอวด นครศรีธรรมราช ก็มาตามกระแสน้ำลงสู่ทะเลสาบฝั่งอำเภอระโนด และพัทลุง บ้างก็ไปเจริญเติบโตย่านน้ำกร่อย
เหตุนี้ทะเลสาบสงขลา จึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำนานาชนิดทั้งสัตว์น้ำจืด น้ำกร่อยและน้ำเค็ม ที่สามารถหล่อเลี้ยงประชาชนรอบลุ่มทะเลสาบได้อย่างเหลือเฟือ แต่มาบัดนี้ทะเลสาบสงขลาที่เคยลึกระดับ 8 เมตร กลับตื้นเขินเหลือแค่เมตรเดียว หรือ 60 เซนติเมตร ทำให้สภาพน้ำร้อนขึ้น เป็นเหตุให้สัตว์น้ำจำนวนมากค่อยๆ สูญพันธุ์
สภาพเช่นนี้เป็นที่น่าเวทนาเพราะเป็นสภาพที่ทะเลสาบสงขลากำลังจะตาย ทั้งๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งอาหาร และแหล่งที่อยู่อาศัยที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการฟื้นฟูพัฒนาแก้ไขโดยเร็ว
สภาพพื้นที่รอบลุ่มทะเลสาบสงขลา ทะเลน้อย พรุควนเคร็ง ไปจนถึงลุ่มน้ำปากพนัง เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นเลิศของโลก และจากริมทะเลสาบสงขลา ไปถึงสนามบินหาดใหญ่ ก็มีระยะทางเพียงแค่ 30 กิโลเมตร หากมีถนนเชื่อมสักสายหนึ่งก็จะลดความแออัดของหาดใหญ่และจะขยายความเจริญครอบคลุมทั่วรอบลุ่มทะเลสาบสงขลาด้วย
การพัฒนาลุ่มทะเลสาบสงขลากำลังรอคอยผู้มีสติปัญญาและเห็นความสำคัญของพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี