พวกเราชาวไทย รวมทั้งชาวโลก ที่เติบโตกันขึ้นมาในยุคสมัยใหม่ น้อยคนนักที่จะไม่รู้เรื่องการทิ้งระเบิดปรมาณู (นิวเคลียร์) ที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ ของญี่ปุ่นในช่วงปลายๆ ของสงครามโลกครั้งที่สองโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้นำไปสู่การยกธงขาวยอมพ่ายแพ้อย่างปราศจากเงื่อนไขใดๆ ของฝ่ายญี่ปุ่น
โดยภาพติดตาของคำว่าระเบิดนิวเคลียร์ในความทรงจำของชาวโลกที่อยู่มาจนทุกวันนี้ (และคงจะอยู่ต่อไปกับอนุชนรุ่นหลัง) ก็คือภาพกลุ่มควันโครงรูปดอกเห็ด (Mushroom) ภาพสิ่งปรักหักพังจากแรงระเบิด ภาพการล้มตาย การบาดเจ็บ ภาพมนุษย์ที่กำลังวิ่งกระเจิดกระเจิง หรือร้องโอดครวญขอความช่วยเหลือ หลังจากที่ระเบิดถูกทิ้งลงมา ซึ่งก่อให้เกิดแสงสว่างจ้าบนท้องฟ้าอย่างที่โลกไม่เคยเห็นกันมาก่อน
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะยกเอาเหตุผลความจำเป็นใดๆ มาอ้าง มันก็ยังเป็นความโหดร้ายทารุณต่อมนุษยชาติอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการจำเป็นต้องทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ เพื่อมิให้สงครามต้องยืดเยื้อ ซึ่งจะทำให้ผู้คนต้องล้มตายไปอีกมาก หรือ การทิ้งระเบิดครั้งนี้ ได้สงวนเป้าหมาย (space) กรุงโตเกียว ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่ผู้คนหนาแน่นไว้ เลือกโจมตีแค่เมืองรองๆ อย่างเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ เท่านั้น ซึ่งฟังแล้วดูน่าเห็นใจผู้กระทำการ แต่อย่างไรก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อเท็จจริงที่ว่า หากเป็นเช่นข้ออ้างนั้น ชาวฮิโรชิมา และนางาซากิในขณะนั้น คือผู้ถูกบูชายัญ มารับเคราะห์กรรมแทนทหารญี่ปุ่น และพันธมิตร โดยไม่มีทางเลือกและไม่รู้ตัว
เรื่องใครจะผิด ใครจะถูกอย่างไร ในเหตุการณ์ครั้งนี้ ผู้คนและนักประวัติศาสตร์คงจะต้องถกเถียงกันต่อไปอีกนานแสนนาน
แต่ข้อเท็จจริงที่แน่นอนก็คือ พิษสงของระเบิดปรมาณูนั้นรุนแรงทั้งต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ซึ่งหากมนุษยชาติจะประหัตประหารกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ มันก็จะเป็นสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย
ซึ่งเมื่อเห็นความหายนะที่รออยู่ของอาวุธนิวเคลียร์แล้ว ก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่ประเทศต่างๆ ที่ไม่เคยมี ก็พยายามค้นคว้าวิจัย เพื่อให้ได้ครอบครอง โดยใช้ข้ออ้างว่า เพื่อป้องกันการถูกคุกคามจากประเทศอื่นๆ ส่วนประเทศที่ครอบครองแล้ว ก็ยังเดินหน้าพัฒนาศักยภาพอาวุธนิวเคลียร์ ด้วยข้ออ้างว่า เพื่อป้องปรามประเทศติดอาวุธนิวเคลียร์ด้วยกัน
แต่ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใด เมื่อมองที่ผลลัพธ์แล้วก็คือ มนุษยชาติจะสูญสิ้นหากมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์เข้าสู้รบกัน นั่นก็แปลว่า ไม่ว่าใครจะมีครอบครองไว้ ก็จะใช้มันมิได้
เมื่อมีอาวุธนิวเคลียร์แล้วใช้ไม่ได้เช่นนี้ จะมีกันไปทำไม จะสิ้นเปลืองเงินตรา และสติปัญญา ที่ควรนำไปใช้เพื่อคุณภาพชีวิตเพื่อสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่ออนาคตลูกหลานตนไปมากกว่า
เพียงแค่อาวุธธรรมดาๆ ที่มีอยู่ในครอบครองของประเทศต่างๆ นั้นก็มากมาย เพียงพอต่อการฆ่าล้างโลกกันได้หลายรอบอยู่แล้ว จะต้องมีอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถดับอนาคตโลกไปอีกทำไม
ขนาดโรงงานพลังไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่เป็นการใช้พลังนิวเคลียร์เพื่อสันติ มีระบบป้องกันภัย ก็ยังมีอันตรายจากความผิดพลาด เช่น ที่ยูเครน หรือจะถูกภัยธรรมชาติเล่นงานอย่างที่ญี่ปุ่น จนเกิดการรั่วไหล ส่งผลให้ธรรมชาติในบริเวณนั้นเป็นพิษ มนุษย์ต้องอพยพหนีออกมาด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ยังมินับงบประมาณมหาศาลที่ต้องใช้ในการทำความสะอาดพื้นที่หลังจากนั้น
เหตุผลเหล่านี้ จึงสำทับให้มนุษย์โลกได้เห็นตรงกันว่า อาวุธนิวเคลียร์นั้นไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป เพราะมันหาประโยชน์แท้จริงใดมิได้เลย มีแต่อันตราย และความเสี่ยงในระดับการสูญสิ้นของมวลมนุษยชาติ
ไทยเราเองเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วย การลดอาวุธนิวเคลียร์ อนุสัญญาว่าด้วย การห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และล่าสุดอนุสัญญาว่าด้วย การห้ามมิให้มีอาวุธนิวเคลียร์ (To Ban หรือ To Prohibit) ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศของไทยเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการยกร่างอนุสัญญานี้ (ก็ขอกล่าวชื่อข้าราชการดีเด่นผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการนี้ไว้สัก 2 คน คือ คุณธานี ทองภักดี และคุณมรกต ศรีสวัสดิ์ และขอชื่นชมผู้มีส่วนร่วมอื่นๆ ที่มีจำนวนมากเกินกว่าที่จะนำมาเอ่ยชื่อได้ครบในที่นี้)
นอกจากนั้น ไทยเรายังเป็นผู้ร่วมจัดทำข้อตกลงว่าด้วย เขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันเฉียงใต้ (Nuclear Weapon Free-zone) ข้อตกลงว่าด้วย เขตสันติภาพ เสรีภาพและความเป็นกลาง และอนุสัญญาว่าด้วย การเป็นมิตรไมตรีต่อกัน
ฉะนั้นแล้ว ในเมื่อประเทศไทยของเราได้ผูกมัดตนเอง กับการเรียกร้องสันติภาพ ด้วยการไม่เอาอาวุธนิวเคลียร์ ก็จะต้องมีบทบาท ด้วยการทำตัวเป็นผู้นำ มิใช่การจำกัดอยู่แต่บนแผ่นกระดาษ หรือเพียงแค่ตัวอักษร หากแต่ต้องนำไปสร้างกระบวนการปฏิบัติในสังคมด้วย
นั่นหมายถึงการเสริมสร้างความรู้ให้แก่สาธารณชน และการร่วมกันรณรงค์ขับเคลื่อน ให้สังคมไทย และประชาคมอาเซียนได้ตระหนักถึงภัยอันตรายจากอาวุธนิวเคลียร์ต่อมนุษยชาติ และการขจัดอาวุธนิวเคลียร์ออกไปจากโลก เพื่อที่ทั้งไทยและเทศจักได้ร่วมกันมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความหวาดกลัว หวาดระแวง ซึ่งจะส่งผลให้โลกมีโอกาสได้สัมผัสสันติสุข และสันติภาพกันมากยิ่งขึ้น
การดำเนินการให้ความรู้และการตระหนักนั้นก็เป็นเรื่องของภาครัฐในระดับแรก โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และเครือข่ายสื่อภาครัฐ
ในระดับภาคประชาชน ก็เป็นเรื่องของผู้สนใจที่จะร่วมมือสร้างเครือข่าย ร่วมรณรงค์กันเป็นธรรมดา
ในระดับภูมิภาคและโลก ประเทศไทยก็อยู่ในฐานะที่จะเป็นหนึ่งในแกนนำได้ ซึ่งก็หมายความว่า รัฐบาลใดๆ ก็ต้องบรรจุเรื่องการต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในนโยบายต่างประเทศ และพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีความชำนาญการ ทั้งในการเจรจา ในเวทีระหว่างประเทศ และในการเป็นผู้ให้ความรู้กับสังคมไทยและโลก
โดยส่วนตัว ผมเองได้รับเกียรติให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรเครือข่ายผู้นำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ว่าด้วยการห้ามแผ่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และการลดอาวุธ (Asia-Pacific Leadership Network for Nuclear Non-Proliferation and Disarmament – APLN) ซึ่งมีสำนักงานเลขาธิการร่วม อยู่ที่กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย และกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
ซึ่งระหว่างนี้ ผมกำลังดำเนินการจัดตั้งกลุ่ม และเครือข่ายเพื่อการรณรงค์การปฏิเสธอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นในประเทศไทย ก็ขอใช้โอกาสนี้ในการเชิญชวนผู้ที่ได้อ่านบทความนี้มาเป็นแนวร่วมและสร้างเครือข่ายต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี